วันที่ 24 มีนาคม 2566 จากกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กล่าวหา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง ว่านายชูวิทย์เรียกรับเงินจากผู้ทำเว็บพนันออนไลน์และธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งที่นายชูวิทย์เป็นคนแฉเรื่องดังกล่าวเอง
ต่อมา นายชูวิทย์เรื่อง “ถุงเงิน” ว่ามีถุงละ 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท ไม่มีเงินจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม ซึ่งเงินดังกล่าวมีตำรวจเกษียณราชการ ชื่อ อ. และอีกนายชื่อ ป. รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังทำอาบอบนวด นำมาให้ตนในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ปีนี้ และได้ปฏิเสธไปแล้ว ก่อนจะตัดสินใจนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ และ โรงพยาบาลศิริราช วันที่ 15 มีนาคมพร้อมยอมรับว่าตัวเองไม่มีทางออก
โรงพยาบาลศิริราช ได้ส่งหนังสือเชิญแถลงข่าว โดย ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เตรียมแถลงข่าวถึงเงินจำนวนดังกล่าว ในวันที่ 24 มีนาคมนี้
อย่างไรก็ตามล่าสุด นายชูวิทย์ เอง ได้ออกมาโพสต์ในเฟซบุ๊กของตัวเอง ชี้แจงว่าถ้าหากทางโรงพยาบาลไม่สบายใจกับเงินดังกล่าวที่นำมาบริจาค ก็ให้นำมาคืน แล้วตัวเองจะนำไปให้ตำรวจต่อไป
“เงินสีเทา
หากทนายตั้มบอกว่าผมได้มา 10 ล้าน และนำไปบริจาค 6 ล้าน เก็บไว้ 4 ล้าน
ถ้าผมคิดจะเก็บไว้จริง ผมควรเก็บไว้มากกว่าที่บริจาคไหม?
เช่น เก็บไว้ 6 หรือ 7 หรือ 8 ล้าน และนำไปบริจาคเพียงส่วนน้อยย่อมทำได้
หรือไม่ก็ไม่ต้องบริจาคเลย เก็บไว้ทั้ง 10 ล้าน แล้วหยุดพูด เงียบๆ ไป
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้อยู่ดีในวันนั้นที่นำเงินมา
หากโรงพยาบาลไม่สบายใจ คืนเงินมา ผมก็ต้องนำเงินไปให้ตำรวจ ก็ไม่ทราบว่าตำรวจจะทำอย่างไรกับเงินนี้ต่อไป
แต่ด้วยเจตนาดีในการนำเงินไปให้โรงพยาบาล เพื่อได้ช่วยเหลือคนเจ็บป่วย หรือคนตาย
คนนำเงินมาให้ก็เป็นนายตำรวจผู้ใหญ่ที่เกษียณแล้ว และผมรู้จักมานาน
จิตใต้สำนึกผมแยกแยะได้ว่า อะไรคือเงินของผม และอะไรที่ไม่ใช่
สังคมพิจารณาได้ว่าผมเป็นคนอย่างไร?
การกระทำของผมย่อมมีคนเสียประโยชน์ที่พยายามเล่นงานผมทุกวิถีทาง
แต่เมื่อผมตัดสินใจแล้ว เกมนี้เดิมพันด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ครับ”
©2018 CK News. All rights reserved.