ผู้สื่อข่าว ONBnews รายงานว่า ที่ศูนย์ประชุมสาเกตฮอล์ล ต.เหนือเมือง อ.เมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ปรึกษาพรรคเพื่อชาติ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฏร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหลายกระทรวงสมัยนายกทักษิณ ชินวัตร เดินทางมาหาเสียงช่วยว่าที่ลูกพรรคเพื่อชาติ เขต 1 นายวีระศักดิ์ แสงสว่าง เบอร์ 19, เขต 2 นายวีระวัฒน์ โพธิ์เปี้ยศรี เบอร์ 13, เขต 3 นายพีระประพล พลเยี่ยม เบอร์ 7, เขต 4 นายวัจนคมกริช ศรีวะรมย์ เบอร์ 19, เขต 5 นายชาติชาย อัตภูมิ เบอร์ 3, เขต 6 นายอุดมการณ์ หลักคำ เบอร์ 18, และ เขต 7 นายใหม่ เสาวงค์ เบอร์ 3 และพบปะคณะกรรมการสภาเกษตรกรจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนเกษตรกรระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่นทั้ง 20 อำเภอ รวม 596 คน ในงานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรโดยใช้พลังงานทดแทน" ซึ่งจัดโดย ดร.ประจักร์ บุญกาพิมพ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดร้อยเอ็ด
ยงยุทธ ติยะไพรัช กล่าวว่า พรรคเพื่อชาติเป็นพรรคเดียวที่กล้าประกาศขอให้ยกเลิกตัดตอนการสัมปทาน อยากบอกประชาธิปัตย์ถ้าเชียร์ทหารพ่ายแพ้แน่ อย่าไปเชื่อพวกยุแยงตระแคลงรั่ว การเลือกตั้งแบบใหม่ 376 เสียง ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้
สำหรับนโยบายพรรคเพื่อชาติด้านการส่งเสริมอาชีพ และรายได้ของพี่น้องเกษตรกรนั้นเกษตรกรต้องคู่กับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของท้องถิ่น โดยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ส่วนการรักษาพยาบาลวันนี้พรรคเพื่อชาติจะยกฐานะอนามัยตำบลให้เป็นโรงพยาบาลทั้งประเทศ สร้างห้องผ่าตัดเล็ก ราคา 1 ล้าน มีอัลเตอร์ซาวด์ ราคา 8 แสน มีเครื่องช่วยหายใจ ส่งเสริมลูกชาวบ้านเรียนแพย์กลับมารักษาพ่อแม่พี่น้องอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งมีอยู่ 7,000 แห่ง ใช้งบเพียง 2 หมื่นกว่าล้านเท่านั้น ดีกว่าไปซื้อเรือดำน้ำ และรถถัง ฝากพี่น้องชาวร้อยเอ็ด พ่อเฒ่า แม่เฒ่า สาวแก่แม่หม้ายและพ่อหม้ายระดมหาเสียงช่วยพรรคเพื่อชาติกำจัดพรรคเผด็จการทหารให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยด้วย
ยงยุทธ ติยะไพรัช ยังกล่าวด้วยว่า ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ยุคเผด็จการทหารเหมือนประเทศพม่าเมี่อออกกฏหมายกีดกันอองซานซูจีซึ่งแม้ชนะการเลือกตั้งก็ไม่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลด้วยการออกกฏหมายเพื่อสืบทอดอำนาจทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกฏหมายการให้คนนอกเป็นนายกรัฐมนตรีและมีฐานเสียงจาก ส.ว.ที่แต่งตั้งขึ้นเองโดย คสช.
ยงยุทธ ติยะไพรัช ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางกลับว่า พรรคเพื่อชาติเชื่อว่านโยบายที่จะเปลี่ยนประเทศได้คือนโยบายยกเลิกสัมปทานและการผูกขาดตัดตอนในสิ่งท่ำเป็นอุปสรรคปัญหาต่อพี่น้องประชาชน ตนเชื่อว่าเป็นนโยบายที่จะสร้างลดความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาความยากจนได้ เรื่องี่ 2 สิ่งี่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องสินค้าเกษตร เพราะรากฐานของประเศไยร้อยละ 70 เป็นเกษตรทั้งนั้น วันนี้มีแต่พรรคพูดถถงว่าจะลดได้เท่านั้นจะแก้ปัญหาได้เท่านี้ แต่วิธีการไม่มี พรรคเพื่อชาติได้อธิบายชัดเจนว่า จะทำและแก้ปัญหาเรื่องสินค้าเกษตรอย่างไรบ้าง อันนี้ก็มีการอธิบายให้พี่น้องได้ติดตามกัน ส่วนเรื่องี่ 3 เราก็จะเห็นว่าสังคมที่มันไม่เกื้อกูลกัน ต่างคนต่างอยู่ เหมือนคนในกรุงเทพฯรั้วบ้านติดกันแต่ว่าไม่รู้จักกัน ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วันนี้นโยบายของพรรคเพื่อชาติจะนำเอาคุณค่าของสังคมที่ดีๆกลับคืนมาให้พี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร ซึ่งตนก็คิดว่าพี่น้องถ้าสามารถติดตามได้ทางเว็บไซด์ต่างๆของพรรคเพื่อชาติซึ่งจะอธิบายเรื่องนโยบายต่างๆได้ดี
แม้ว่าฝั่งประชาธิปไตยจะได้รับชัยชนะเกินกึ่งหนึ่ง แต่ด้วยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ที่ผูกไว้ว่า 250 ส.ว. บวก ส.ส.อีก 126 วิ่งอีก 126 กิโล ก็ได้เป็นรัฐบาลแล้ว แต่ฝั่งประชาธิปไตยต้องวิ่งถึง 376 กิโล อันนี้คืออุปสรรคปัญหาใหญ่ แต่ในเนื้อในนั้น มี ส.ส.แค่ 500 ทั้งปาตี้ลิสและเขต ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ 250 และยังมีบางฝ่ายไปรวมกับ สว. และ สว.ก็ไปรับทำงานต่อโดยไปตั้งรัฐบาลมันก็จะเกิดวิกฤติ ก็คือประชาชนต้องการอย่างหนึ่ง แต่พอถึงเวลาจริงๆเข้าก็ไปได้อีกอย่างหนึ่งเหมือนเลือกสามีหรือเลือกแฟนก่อนแต่งงานได้คนนี้ พอถึงวันแต่งจริงๆ แม่มาจับอีกคนหนึ่งยัด ตนว่าเจ้าสาวซึ่งเป็นประชาชนก็คงไม่มีความสุข ตนก็คิดว่าจะเกิดวิกฤติปัญหาต่อไปอีก
©2018 CK News. All rights reserved.