สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ออกแถลงการเรื่อง ความจำเป็นของการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น โดยระบุว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ที่มีการระบุว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น การปล่อยให้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน มีความปลอดภัย และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาตินั้น สถาบันมีความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับการส่งต่อข้อมูลที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนดังกล่าวอย่างมากในการนี้
สถาบันขอยืนยันว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในสถานการณ์ที่ไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วนั้น มีความจำเป็นอย่างมากโดยการฉีค วัคชีนเข็มกระตุ้น ช่วยลดอาการป่วยที่รุนแรง ลดโอกาสการเสียชีวิต และลดโอกาสการเกิด ภาวะ Long COVID ในผู้ใหญ่ รวมถึงภาวะอักเสบทั่วร่างกายในเด็ก (Multisystem Infสammatory Syndrome in Children; Mis-C) จากการป่วยด้วยโควิด 19 ได้จริง
หลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ว่า วัคชีนเข็มกระตุ้นสามารถลดอาการเหล่านี้ลงได้มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่เคยฉีดวัคซีนเลย หรือ ฉีดวัคซีนแล้วแต่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น มีการดำเนินการอย่างกว้างขวาง ทำให้มีรายงานยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผล (Vaccine effectiveness) ของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจำนวนมากจากหลายประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทยได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาประสิทธิผลของวัคชีนที่ใช้ในประเทศด้วยเช่นกัน ผลการศึกษาในปัจจุบัน (ข้อมูลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริง จ. เชียงใหม่ ช่วงเตือน ม.ค.มี.ค.2565 ณ วันที่ 8 เมษายน 2565) ระบุว่า
"ในสถานการณ์การระบาดของโอมิครอน การฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ไม่ป้องกันกรติดเชื้อ แต่สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้มากกว่า 85% และหากได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่3 ในระยะเวลาที่เหมาะสม สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 34-68% และเพิ่มการป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 98-99% และเมื่อมีการมีวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 4 เมื่อครบกำหนดการเข้ารับวัคซีน พบว่า สามารถป้องกันการติดเชื้อได้สูงถึง 80-82% โดยยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4"
จากผลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริงในระดับโลก ทำให้องค์การอนามัยโลกได้ออกประกาศสนับสนุนให้ประชาชน เข้ารับวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก และเสียชีวิตจากการคิดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ด้วยเช่นกัน
สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า ความครอบคลุมการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยรวมยังค่อนข้างน้อย โดยมีความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพียง 35% เท่านั้น (ข้อมูลระดับประเทศ ณ วันที่ 8 มษายน) และจากการเก็บข้อมูลของผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิต 19 พบว่า ยังคงเป็นประชากรในกลุ่ม 608 ซึ่งได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในอัตราส่วนที่สูงกว่าประชากรกลุ่มอื่น โดยพบด้วยว่า ประชากรในกลุ่ม 608 ยังมีการเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นค่อนข้างต่ำ
ดังนั้น สถาบันจึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคร่วม 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ ที่ยังไม่เคยฉีดวัคชีนโควิต 19 มาก่อน ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรก และเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามกำหนดนัดหมาย หากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วนานกว่า 3 เดือน ให้รีบเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 และหากได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 มาแล้ว เป็นเวลา 4 เตือนขึ้นไป ให้รีบเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 4
นอกจากนี้ การสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ยังคงเป็นมาตรการสำคัญ ที่เมื่อปฏิบัติควบคู่กับการฉีดวัคซีนจะช่วยควบคุมการระบาดของโรค ลดโอกาสการกลายพันธุ์ของไวรัส และลดความเสี่ยงของการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิต 19 ได้อย่างมีประสิทธิผล สถาบันจึงขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของตนเองและบุคคลที่ท่านรัก
©2018 CK News. All rights reserved.