วันที่ 4 มี.ค.62 เวลา 18.00 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นำทีมผู้สมัคร ส.ส.นครพนม ทั้ง 4 เขต ขึ้นรถกระบะหาเสียงในเขตเทศบาลเมืองนครพนม เริ่มจากหน้าธนาคารกรุงไทย ถนนนิตโย(ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 22) เข้าสู่ถนนอภิบาลบัญชา ซึ่งเป็นเส้นเศรษฐกิจหลักของจังหวัด ผ่านหน้าตลาดสดเทศบาลฯ ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนเฟื่องนคร ไปทะลุริมฝั่งแม่น้ำโขงถนนสุนทรวิจิตร บริเวณหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ ผ่านหน้าตลาดอินโดจีน และจอดรถที่บริเวณด้านข้างองค์พญาศรีสัตตนาคราช โดยมีซึ่งมีกลุ่มผู้สนับสนุน และแฟนคลับวัยรุ่นคนรุ่นใหม่มาต้อนรับ และขอถ่ายรูปด้วยประมาณ 600 คน ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ได้เจอตัวจริงของหัวหน้าพรรคหนุ่ม
โดยได้มีการปราศรัยท้ายกระบะรถ เนื้อหาส่วนใหญ่โจมตีรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างดุเดือด โดยนายธนากรฯ กล่าวว่า ได้เข้ามาทำงานการเมืองเมื่อ พ.ค.ปีที่แล้ว เดินทางไปหาพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ไปพบกับเจ้าของร้านกาแฟ เจ้าของร้านทอง แม่ค้าขายผัก แม่ค้าแผงเสื้อผ้าในตลาดโต้รุ่ง ทุกจังหวัดล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า 4-5 ปี ที่ผ่านมารายรับลดลง ชีวิตความเป็นอยู่มันคับแค้นมาก นี่คือความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น
การพัฒนาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตกไปกับอยู่กับคนไม่กี่คน ในขณะที่พี่น้องประชาชนมีรายได้น้อยลงเรื่อย ๆ “ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ใครมีรายรับเพิ่มขึ้น ใครมีรายรับน้อยลง ไม่ต้องตกใจ ทุกคนควรจะดีใจ พี่น้องประชาชนทั่วประเทศเป็นเหมือนกันหมด จนเหมือนกันทั่วประเทศ คนไทยเราเท่าเทียมกัน ภายใต้รัฐบาลคุณประยุทธ์ฯ “
“การเมืองคือเรื่องของอำนาจ ภาษีที่เราจ่ายเดินเข้าไปซื้ออะไรก็เสียภาษี vat 7% ภาษีของพวกเรา ภาษีในปีนี้มีมูลค่า สามล้านล้านบาท ใครมีอำนาจไปจัดการภาษี และจะเอาภาษีไปให้ใครทำอะไร นี่คืออำนาจทางการเมือง จะเอาภาษีไปทำรถไฟฟ้าที่ กทม. หรือจะเอาภาษีไปเพิ่มสวัสดิการให้กับคนแก่ คนวัยเกษียณ คนไม่มีเงินออม เป็นคำถามทางการเมือง”
“คำถามเรื่องอำนาจ จะเอาภาษีประชาชนไปทำโรงเรียนที่ดี ให้โรงเรียนทั่วประเทศดีเหมือนกันดีเท่าเทียมกัน เพื่อให้ลูกหลานของเราเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน หรือจะเอาเม็ดเงินไปซื้อเรือดำน้ำ นี่เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเงินทุกๆบาท ที่ไม่ได้เอามาทำโรงเรียนของเราให้ดีขึ้น เงินทุกบาทที่เอาไปซื้อรถถัง ไม่เอามาทำโรงพยาบาลให้ดีขึ้น นี่คือปัญหาเรื่องการเมือง ประชาธิปไตยคือหลักการที่บอกว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน และประชาชนใช้อำนาจนั้น ใช้สิทธิ์ใช้เสียงของตัวเอง ที่มีค่ามีสิทธิ์ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน เราใช้สิทธิ์ของเราเลือกผู้แทนของเราเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรแทนเรา ดังนั้นประชาธิปไตยจึงเป็นระบบ เป็นเครื่องมือที่การันตีดอกผลของการพัฒนาประเทศ จะตกถึงมือของผู้คนส่วนใหญ่อย่างเข้าถึงและเท่าเทียม นี่คือประชาธิปไตย เพราะเมื่อพ่อแม่พี่น้องมีปัญหา สี่ห้าปีที่ผ่านมา ท่านไม่มีผู้แทน ท่านไม่รู้จะไปบอกใคร แต่ถ้าท่านมี ส.ส. จะเอาความเดือดร้อนของท่านเอาปัญหาไปอภิปราย รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้ยินได้ฟัง เอาปัญหาของท่านไปแก้ไข สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มีอยู่ คือสภาที่เขาแต่งตั้งขึ้นมาเอง จึงไม่รับฟังประชาชน จะเดินขบวนเรียกร้อง หรือจะรวมตัวเพื่อบอกรัฐบาลว่า เดือดร้อนอย่างไร ถูกจับเข้าคุกหมด ต้องบอกว่าในยุคนี้พี่น้องประชาชนพูดมากไม่ได้ ระบอบเผด็จการคืออำนาจของคนเพียงกลุ่มเดียว และการรวมศูนย์อำนาจแบบนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะมีประโยชน์ให้กับพรรคพวกตัวเอง ดังนั้นอำนาจเผด็จการ ถึงแม้บางครั้งบางคราว จะให้คุณกับประชาชนบ้าง ในเมื่อสถานการณ์จวนตัวเท่านั้น ที่จะคุยกับประชาชน มาแจกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกิน แจกเงินประชารัฐ ให้ประชาชนให้สามเดือนก่อนการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ สี่ห้าปีไม่เคยฟังเสียงของประชาชนเลย ไม่เคยสนใจประชาชนเลย นี่คือคำอธิบายว่า ประชาธิปไตยกินได้จริงๆ เมื่อจวนตัวต้องเข้าสู่การเลือกตั้ง ปัญหาที่สำคัญของสังคมไทยคือ กลุ่มเผด็จการทหาร คือกลุ่มที่ถือครองอำนาจอยู่ในปัจจุบัน วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่า จะสืบทอดอำนาจต่อไป สี่ปีที่ผ่านมาก็เสียหายพอแล้ว ถ้าปล่อยให้เขาสืบทอดอำนาจอีก 8 ปี พวกเขาได้วางแผนไว้หมดแล้ว รัฐธรรมนูญก็ร่างขึ้นมาเอง ส.ว.(สมาชิกวุฒิสภา) ก็แต่งตั้งเอง คณะกรรมการยุทธศาสตร์ก็แต่งตั้งเอง ป.ป.ช.ก็แต่งตั้งเอง”
“คณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ มีอำนาจเหนือการเลือกตั้ง เขียนยุทธศาสตร์แห่งชาติมา 20 ปี ว่าใครต้องทำอะไรบ้าง ต่อไปพรรคการเมืองมาหาเสียงก็ไม่ต้องมีนโยบาย เลือกตั้งแล้วไปทำตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ ฉะนั้น คณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ จึงมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพียงกลุ่มคนนิดเดียวที่ประกอบด้วย ผบ.เหล่าทัพ ขุนทหาร นายทุนที่ใกล้ชิดเพียงไม่กี่คน ที่เป็นกรรมการฯ ชี้เป็นชี้ตายกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 51 ล้านคน เมื่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติบอกว่า รัฐบาลทำผิด ส่งเรื่องไปให้ ป.ป.ช.เพื่อตัดสินยุบพรรค จะฝากความหวังอะไรได้เพราะขนาดนาฬิกา ป.ป.ช. ยังหาไม่เจอเลย จะมาตัดสินอะไรกับยุทธศาสตร์แห่งชาติ ไปหานาฬิกาให้เจอก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน”
“นี่คือความเป็นจริงที่โหดร้ายในสังคมไทย ว่าเขาวางแผนอำนาจไว้หมดแล้ว ดังนั้นชักชวนทุกคนมาทำภารกิจร่วมกัน คือภารกิจของคนที่รักความเป็นธรรม รักความยุติธรรม ความเสมอภาค ทุกท่านยังรักสิ่งเหล่านี้ อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสังคมไทย ภารกิจของพวกเราในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. เราจะปล่อยให้ทหารครองเมืองไปมากกว่านี้อีกไม่ได้ เลือกตั้งครั้งนี้ทุกท่านมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่ากันหมด ใช้ให้เป็นประโยชน์ พิพากษาเผด็จการ ส่งเสียงของพี่น้องประชาชนไปให้ดังที่สุด ว่าพอแล้วกับการเลือกตั้งที่ไม่ได้มาจากเสียงของประชาชน นี่คือโอกาสของเรา “
“เป็นภารกิจที่จะทำให้เสร็จ เพื่อให้คนยุคใหม่เติบโตมากับสังคมที่ดี ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ ประเทศไทยมีศักยภาพมากกว่านี้ ทำให้ภาคอีสานจังหวัดนครพนม มีศักยภาพมากกว่านี้ แต่เหตุผลที่ทำให้พวกเราไม่เจริญเป็นเพราะการพัฒนาการเมืองของประเทศไทยติดขัด 86 ปี มีรัฐประหาร 13 ครั้ง เยอะที่สุดในโลก ถ้ารัฐประหารทำให้ประเทศเจริญได้ ประเทศไทยต้องเจริญไปแล้ว เวลาพิสูจน์มาแล้วว่า อำนาจนอกระบบ อำนาจทหารที่มาแทรกแซงอำนาจของประชาชน ทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยทำให้ประเทศไทยดีขึ้น ดังนั้นครั้งนี้มาทำร่วมกัน แพ้ไม่ได้ แพ้จะได้คุณลุงอยู่อีก 8 ปี ครั้งนี้แพ้ไม่ได้” ซึ่งเรียกเสียงปรบมือจากแฟนคลับได้อย่างกึกก้องทั่วลานพญาศรีสัตตนาคราช หลังจากเสร็จจากปราศรัยแล้ว นายธนาธรได้เดินทางไปหาเสียงต่อที่จังหวัดสกลนคร
©2018 CK News. All rights reserved.