"จาตุรนต์-ณัฐวุฒิ" พาผู้สมัคร ทษช. ลงพื้นที่หาเสียงตลาด 100 ปี สามชุก


3 มี.ค. 2562, 09:56

"จาตุรนต์-ณัฐวุฒิ" พาผู้สมัคร ทษช. ลงพื้นที่หาเสียงตลาด 100 ปี สามชุก




ที่ จ.สุพรรณบุรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะทำงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ นายประภัสร์ จงสงวนอดีตผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย อดีตผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ พร้อมคณะทีมงานหาเสียงพรรคไทยรักษาชาติ ลงพื้นที่ขอคะแนนเสียงในตลาด 100 สามชุก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี เพื่อช่วยนายเทียนชัย ปิ่นวิเศษ ผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติ เบอร์ 12 เขต 3 ซึ่งการเดินหาเสียงในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับมี พ่อค้า ประชาชน ให้ความสนใจยืนรอให้ดอกไม้ และพวงมาลัยกันเป็นอย่างมาก บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เปิดเผยว่า ได้ยินมาจากผู้สมัครว่าประชาชนให้การต้อนรับมาก เท่ากับว่าได้มาเห็นจริงว่าพี่น้องประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี ให้การต้อนรับพรรคไทยรักษาชาติอย่างดี ทำให้ผู้สมัครทุกคนก็จะมีกำลังใจที่จะทำงานต่อไป คือพื้นที่สุพรรณบุรี เมื่อก่อนนี้เวลาเลือกตั้งเค้ามีบัตร 2 ใบ ตั้งแต่อยู่พรรคไทยรักไทย ก็พบว่าตั้งแต่นั้นมาคะแนนพรรคบางทีก็มากกว่าเจ้าของพื้นที่ ที่นี้บางทีผู้สมัครบางครั้งได้รับเลือกตั้งด้วย ครั้งนี้เขาเอาบัตรใบเดียว เค้ามีบัตรแค่ใบเดียว การเลือกตั้งแบบนี้จะมีความสำคัญทั้ง 2 อย่าง ทั้งผู้สมัคร และพรรค พร้อมๆกัน แต่ว่าสภาพเศรษฐกิจ อย่างที่เป็นอยู่ ผมคิดว่าประชาชนจะให้ความสนใจกับการที่จะมีพรรคการเมืองที่จะไปเป็นรัฐบาล รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพราะฉะนั้นเราก็มีความหวังค่อนข้างมาก นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวต่ออีกด้วยว่ามีเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งในภาพรวม เรื่องที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับบ้านเมือง คือเกรงว่าหลังการเลือกตั้งจะมีปัญหาอีกมากที่จะแก้กันไม่หวาดไม่ไหว ในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เวลานี้ กกต. ก็บอกว่าให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปปราศรัยได้ แล้วก็มีการพูดกติกากัน ซึ่งความจริงเราเข้าใจว่าคนถ้าลงมาสมัครแล้วก็ต้องไปปราศรัยได้ ถึงแม้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่าจะใช้อำนาจรัฐหรือไม่ หรือว่าจะได้อภิสิทธิ์ในการเกณฑ์คนมา ระดมคนมาโดยไม่ผิดกฎหมายหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกัน แต่ว่าในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง เราเป็นห่วงว่า การเลือกตั้งจะไม่เสรีไม่เป็นธรรม



จาตุรนต์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากว่ามีการใช้อำนาจของ คสช. หรือ อำนาจที่เกี่ยวเนื่องกับ คสช. ทั้งในเรื่องของการให้เจ้าหน้าที่ คสช. ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งอยู่ แล้วก็กรณีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คือการปิดสถานีโทรทัศน์ ดีที่มีศาลปกครองมาช่วยไว้ อันนั้นก็เกี่ยวข้องกับการ อ้างถึงคำสั่ง คสช. แต่ว่าหลังสุดการสั่งเปลี่ยนผู้ดำเนินรายการของช่อง 9 อสมท. ซึ่งมีประธานบอร์ดเป็นนายทหารด้วย อันนี้ก็ทำให้เห็นถึงการที่ เหมือนกับว่าเรายังอยู่ภายใต้การปกครอง เท่ากับว่าเรายังอยู่ภายใต้การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเลยทั้งๆที่มีรัฐธรรมนูญ แล้วก็เข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งถ้าปล่อยให้ดำเนินการอย่างนี้ได้จะเป็นการละเมิดและจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนนะครับ ถ้าทำกันอย่างนี้กันมากๆ รายการต่างๆเขาก็จะกลัวไม่กล้าจัดรายการประเภทที่จะให้คนแสดงความเห็นได้อย่างเสรี ก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีอำนาจอยู่ผู้ที่เป็นรัฐบาลอยู่ ทีนี้สิ่งที่เป็นห่วงประเทศ ก็คือว่าจนถึงขณะนี้ผู้มีอำนาจทั้งหลาย เช่นผู้มีอำนาจทางด้านการออกกฎหมาย ก็ยังไม่มีความเข้าใจว่าเรากำลังเข้าสู่การเลือกตั้งและเรื่องการออกกฎหมายสำคัญความจะให้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่ สนช. อีกต่อไป จะสังเกตเห็นว่าก่อนหน้านี้มีร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับพันธุ์ข้าว (พรบ.ข้าว) อันนั้นก็จะสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวนาทั่วประเทศ แต่ก็ยังคิดออกกันอยู่ มาล่าสุดมีร่าง พรบ.ไซเบอร์ ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากแก่สิทธิเสรีภาพของประชาชน และที่สำคัญคือจะกระทบต่อการลงทุนทางด้านเศรษฐกิจสมัยใหม่ ซึ่งประเทศไทยจะหมดศักยภาพในการที่เป็นศูนย์กลางด้านนี้เพราะว่ากฎหมายนี้จำกัดเสรีภาพแล้วก็ยังให้อำนาจหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปล้วงข้อมูลแทรกแซงต่างๆจนกระทั่งบริษัทที่จะมาลงทุนก็จะต้องกลัว หรือว่าข้อมูลของเขาจะถูกตรวจค้น ถูกเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมันจะเป็นปัญหาต่อไปในวันข้างหน้า ถ้าไม่ยกเลิกออกไปไม่ถอนออกไปนะครับสภาผู้แทนราษฎร ก็ต้องมาแก้ปัญหาเหล่านี้กัน แต่ว่าที่สำคัญคือมันเกิดจากการที่ผู้มีอำนาจยังมีจิตสำนึกแบบเผด็จการ คือไม่สนใจเลยว่าจะมีการเลือกตั้งประชาชนเค้ากำลังจะมากำหนดว่าจะออกกฎหมายต่างๆกันอย่างไร แต่ว่าพวกคุณก็ยังออกกฎหมายกันอยู่อย่างไม่ต้องฟังเสียงใครเลย อันนี้เป็นเรื่องน่าเป็นห่วง เราอยู่ภายใต้การเลือกตั้งที่แปลกประหลาดมากคือมีอำนาจตามมาตรา 44 แล้วรัฐบาลก็ยังเป็นรัฐบาลที่ไม่ปฏิบัติตนแบบเป็นรัฐบาลรักษาการ แถมยังมีฝ่ายนิติบัญญัติก็ยังทำหน้าที่อยู่ ไม่เหมือนการเลือกตั้งทั่วไป ต้องยุบสภา สภาก็จะไม่ทำหน้าที่ แต่อันนี้ทำหน้าที่กันทุกอย่าง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประเทศมากอันนี้ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องเลือกตั้งแล้ว


จาตุรนต์ กล่าวว่าเรากำลังพูดถึงความเป็นห่วงต่อประเทศชาติ พรบ.ไซเบอร์นี้มันร้ายแรงมากแน่นอน คือกฎหมายที่เกี่ยวกับไซเบอร์ หลักใหญ่ของมันคือต้องให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยต่อระบบไซเบอร์หมายความว่าคนใช้คอมพิวเตอร์ คนใช้อินเทอร์เน็ต ธุรกิจต่างๆใช้อินเทอร์เน็ตจะได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัย ไม่ใช่เป็นความคุ้มครองความมั่นคงของรัฐ หรือรัฐบาลแต่นี่กำลังให้ความสำคัญกับคนของรัฐ และรัฐบาล หลักการอีกข้อหนึ่งก็คือจะต้องมีการคุ้มครองเสรีภาพส่วนบุคคล ความเป็นส่วนตัวของทั้งบุคคลแต่ละคนและธุรกิจต่างๆกฎหมายนี้ก็ละเมิดเรื่องนี้อย่างชัดเจน ให้อำนาจเข้าไปตรวจค้น เข้าไปยึดคอมพิวเตอร์ เข้าไปล่วงรู้ถึงข้อมูลต่างๆของเขาหมดเลย โลกยุคนี้มันเป็นโลกที่ต้องใช้บิ๊กดาต้า ใครจะเอาบิ๊กดาต้าจะมาไว้ประเทศไทยถ้าหากว่าคุณสามารถเข้าไปตรวจอะไรของเขาได้หมด เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นเรื่องเสียหายแน่นอน ผมคิดว่าคนที่ทำธุรกิจสมัยใหม่ทั้งหลาย คนรุ่นใหม่ทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องนี้ดี และเขาจะไม่เชื่อหรอกที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ,Ministry of Digital Economy and Society. จะมาชี้แจง หลักสำคัญคือถ้าปล่อยแบบนี้ เรายังไม่รู้หรอกครับว่ากว่าจะถึงวันเลือกตั้ง กว่าจะตั้งรัฐบาลจะออกกฎหมายอะไรให้เสียหายต่อประเทศชาติมากขนาดไหน ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะทำงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวด้วยว่าถ้าไม่มีพรรคไทยรักษาชาติจริงๆก็ให้เลือกพรรคที่หน้าตาคล้ายพรรคไทยรักษาชาติ ได้พูดไว้เมื่อวานไว้ว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นยุบพรรค แต่ว่าพรรคไทยรักษาชาติเราตั้งขึ้นมาใหม่แล้วมีผู้สมัครลงแข่งขันเพียง 176 เขต ดังนั้นเขตที่เหลือเมื่อไม่มีผู้สมัครก็ให้พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจ ส่วนพรรคการเมืองไหนจะหน้าตาคล้าย หน้าตาเหมือนจะมีจุดยืนกับเราแตกต่างอย่างไร ผมเชื่อในวิจารณญาณของประชาชนที่บอกว่าไม่มีไทยรักษาชาติไม่มีในแง่นี้ ก็คือผู้สมัครของเราไม่ครบพื้นที่ทุกเขตเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องคดีขณะนี้อยู่ในกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพวกผมพูดชัดมาตั้งแต่ต้นว่าเราจะไม่สนทนาในเรื่องนี้กันนอกศาล เพราะฉะนั้นคำถามนี้จึงไม่มีคำตอบครับ ต่อข้อถามที่ว่าหากมีการดีเบตระหว่างตนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั้นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า ผมรอคอยวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นเวทีเถอะครับ ให้ประชาชนเขาได้พิจารณา ท่านจะพูดว่าอะไรผมคิดว่าประชาไม่อยากฟัง แต่ที่อยากเห็นก็คือ ให้ท่านได้แสดงสำนึกบ้าง ว่าการเลือกตั้งมันไม่ใช่เรื่องที่คนกลุ่มหนึ่งจะเอาเปรียบคู่แข่งขันจนถึงวันลงคะแนน ให้ท่านได้แสดงสำนึกบ้างว่าคนที่เสนอตัวเป็นผู้นำประเทศต้องมายืนบนเวทีเหมือนๆกับคนอื่นๆภายใต้กติกาเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นกติกาที่ออกโดยอำนาจของท่านก็ตาม แต่การแสดงสำนึกในการเคารพและแข่งขันกันภายใต้กติกานี้ผมว่ามันเป็นเรื่องจำเป็น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ คิดว่าวันที่ 10 มีนาคม เป็นฤกษ์งามยามเหมาะ ผมคิดว่าเราก็พร้อมที่จะรับบทบาทให้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเรามั่นใจว่า ประชาชนก็พร้อมที่จะตัดสินใจไปอีกทางหนึ่งอยู่แล้วเหมือนกัน สบายมากเลยครับ ไม่ได้รู้สึกกังวลใดๆอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเวทีเร็วๆ


คำที่เกี่ยวข้อง : #ทษช.   #จาตุรนต์   #ณัฐวุฒิ  









©2018 CK News. All rights reserved.