วันที่ 3 ก.ย. 64 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยที่รัฐบาลจะเดินหน้าต่อจากนี้
1. การต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในภูมิภาค โดยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของภาครัฐขยายตัวเฉลี่ย 7.9% ต่อปี ครอบคลุมถึงการขยายถนน ระบบราง สนามบิน ท่าเรือ ระบบพลังงานจากไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ มุ่งพัฒนาพื้นที่ EEC รวมถึงระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค
2. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นวาระของโลก โดยเน้นนโยบายการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อต่อสู้กับสภาวะโลกร้อน หรือการก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Decarbonisation) มีรถพลังงานไฟฟ้า EV 30% ในปี 2573 ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานทดแทน 50% ผลักดัน BCG Model ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคอุตสาหกรรม ปลูกป่าจาก 31.8% เป็น 40% ในปี 2579
3. อุตสาหกรรมเดิมต้องเข้มแข็งขึ้น โดยการต่อยอดอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพและมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป เกษตร BCG เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรคุณภาพสูงด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ศูนย์กลางทางการแพทย์ ดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ รับสังคมสูงวัย ศูนย์กลางขนส่งและโลจิสติกส์ ท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน เพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวคุณภาพให้มีรายจ่ายต่อหัวสูงขึ้น เป็นต้น
4. อุตสากกรรมใหม่แห่งอนาคต ที่เน้นการเสริมสร้างอุตสากรรมใหม่ที่สอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเป็น ศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาค, การเติบโตของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม เช่น แอพพลิเคชั่น “เป๋าตังค์” ที่เป็นE-payment, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและยานยนต์ไฟฟ้า อุตสหากรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ เคมีชีวิภาพ และพลาสติกชีวภาพ
5. การสร้างภูมิคุ้มกันและแต้มต่อให้ SMEs โดยรัฐบาลมีแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐาน “การพัฒนาผู้ประกอบการยุคใหม่” เพื่อสร้างโอกาสด้านต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งการเข้าถึงโอกาสทางการเงิน การเข้าถึงตลาด และเข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี โดยคาดว่า จะสร้างมูลค่า 42 เปอร์เซ็นต์ต่อ GDP และสร้างการจ้างงาน 12 ล้านคน
6.การปฏิรูปและพัฒนาระบบการบริหารงานภาครัฐ โดยเน้นเสริมศักยภาพ สร้างความสะดวกในการทำธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น EASE of Doing Business ให้อยู่ในอันดับ 10 ของโลก ในระหว่างปี พ.ศ.2565-2566 และส่วนราชการยกระดับงานบริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปการศึกษา
“ 3- 4 วันที่ผ่านมารัฐบาลยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น จะไปปรับปรุง แก้ไข เพื่อลดจุดอ่อนในการทำงาน ที่อาจจะยังมีอยู่ นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน โดยได้ให้คำมั่นว่าจะทำงานเพื่อคนไทยทุกคน ที่กำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในครั้งนี้ พร้อมๆ กับชาวโลก จะร่วมมือกับทุกฝ่าย ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อนำพาประเทศไทยของเรา ก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามที่คาดหวัง อย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เชื่อว่าฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอแม้จะไม่รู้ว่าวิกฤตโควิดจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ แต่ความหวังจะเป็นพลังสำคัญให้เราก้าวข้ามความยากลำบากในวันนี้ พร้อมกับความรัก ความสามัคคีของคนในชาติจะเป็นแรงขับเคลื่อนสู่จุดหมายร่วมกันโดยสวัสดิภาพ”
©2018 CK News. All rights reserved.