เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ประเทศไทย ที่เริ่มฉีดมาตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ว่าวันที่ 12 มีนาคมนี้ จะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในส่วนของ ครม. คนไหนที่ยังไม่ฉีดก็ถือว่ามีความจำเป็นเช่นกัน เพราะต้องพบปะกับประชาชนจำนวนมาก เป็นเรื่องที่แพทย์เสนอมา
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงส่วนกรณีโรงพยาบาลเอกชนต้องการนำเข้าวัคซีน ว่า พูดมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็ให้องค์การอาหารและยา (อย.) เรียกผู้ประกอบการ สมาคม เกี่ยวกับแพทย์ เกี่ยวกับโรงพยาบาลเอกชนเข้ามาพบว่ามีแผนในการจัดหาวัคซีนอย่างไร ถ้าสามารถจัดหาได้จะไปกีดกันทำไม ช่วงนี้ยังเป็นช่วงของการใช้เพื่อการฉุกเฉินอยู่และที่สำคัญคือเจ้าของวัคซีนต้องการขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ก็ต้องไปดูด้วยว่าจะทำอย่างไร บางทีจองไปแต่ทางบริษัทไม่ให้ก็ได้ แต่ถ้าจองได้ก็ยินดี
อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังควบคุมในเรื่องของการฉีดในระยะต่อไป ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็นการดีเสียอีกที่เอกชนมาช่วย จะได้มีวัคซีนเพิ่มขึ้น คนที่มีขีดความสามารถไปฉีดกับโรงพยาบาลเอกชน มีราคาค่าใช้จ่ายที่สูงก็เป็นทางเลือก ตอนนี้มีบางยี่ห้อที่มาขอที่ อย.แล้ว อยู่ในกระบวนการพิจารณาอยู่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าจะหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะฉีดวันไหน ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 12 มีนาคม เนื่องจาก ครม.ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งตามนโยบายของ พล.อ.ประยุธทธ์ จะให้ ครม.ฉีดวัคซีนทุกคน ผู้ที่อายุเกิน 60 ปี ให้ฉีดของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 60 ปี ให้ฉีดของบริษัทซิโนแวค โดยไปฉีดที่โรงพยาบาลในช่วงเช้า เพราะจะต้องมีการสังเกตอาการ 30 นาที
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในเวลา 09.00 น. วันที่ 12 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.บางส่วนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน จะไปฉีดวัคซีนของบริษัทแอสตร้าฯที่สถาบันบำราศนราดูร ซึ่งคาดว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะร่วมการรับวัคซีนในครั้งนี้ด้วย
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า พร้อมรับการฉีดวัคซีน ส่วนจะไปพร้อมกับ พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่แพทย์ ให้ฉีดเมื่อไรก็ฉีดเมื่อนั้น
ไทยฉีดวัคซีนแล้วร่วม3หมื่น
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยว่า จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์-วันที่ 8 มีนาคม ฉีดวัคซีนไปแล้ว 29,900 ราย กรณีเมื่อฉีดแล้วมีอาการไม่พึงประสงค์ขึ้น จะเกิดขึ้นได้ 1 ใน 3 ของผู้ที่ได้รับวัคซีน พบได้ตั้งแต่เจ็บบริเวณจุดที่ฉีด คลื่นไส้ วิงเวียน ผื่นขึ้นเล็กน้อย อาเจียน สามารถรายงานเข้าไปในระบบไลน์บัญชีทางการ หมอพร้อม เพื่อบันทึกอาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรง เพื่อยืนยันการเฝ้าระวังในระดับที่ไม่รุนแรงด้วย โดยหลังจากนี้จะรายงานเฉพาะอาการข้างเคียงที่รุนแรงเท่านั้น เช่น ไข้สูง แน่นหน้าอก หรือหายใจไม่ออก อาจเกี่ยวกับระบบหัวใจที่ทำงานมากขึ้น
อาการข้างเคียงที่มาก อาจส่งผลให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นหลังจากฉีดวัคซีน ทั้งหมดนี้จึงต้องรายงานเข้ามาในระบบเฝ้าระวัง กรณีที่สงสัยว่าจะรุนแรง ก็จะเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค เช่น ฉีดแล้วเสียชีวิต โดยตั้งแต่ฉีดวัคซีนมา มีรายงานตามเกณฑ์สอบสวน 5 ราย และมี 1 ราย ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาแล้ว โดยผลระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนชนิดไม่รุนแรง และทุกรายกลับบ้านแล้ว นพ.จักรรัฐกล่าว
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า ก่อนฉีดวัคซีนทั้งแอสตร้าฯและซิโนแวค จะต้องมีการคัดกรองเบื้องต้น เช่น ประวัติแพ้วัคซีน แพ้ยา ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบ และมีกระบวนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเหมือนกัน ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในรายชื่อการฉีดของแอสตร้าฯก็ให้ไปฉีดตามนัดหมาย โดยหลักการก่อนฉีดต้องนอนให้เพียงพอ รับประทานอาหารก่อนฉีด เพราะจะทำให้มีอาการเวียนศีรษะจากการงดอาหาร และอาจเข้าใจว่าเป็นอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดได้
©2018 CK News. All rights reserved.