เมื่อวันที่ 17 ก.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 2/2563 ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล มี ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า วันนี้ ที่ประชุมร่วมพิจารณาแผนงานโครงการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ได้แก่ โครงการจัดหาน้ำต้นทุนและแผนปฏิบัติการ ปี 2563-2566 จ.ภูเก็ต จากที่คาดการณ์ว่าในปี 2575 ปริมาณความต้องการใช้น้ำของ จ.ภูเก็ต จะเป็น 112 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อปี จากการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว และชุมชนเมือง ส่งผลให้แนวโน้มผู้ใช้น้ำสูงขึ้นประมาณร้อยละ 12 ต่อปี รวมถึงมีการเพิ่มพื้นที่ให้บริการของการประปาส่วนภูมิภาคให้ครอบคลุมทั้งจังหวัด ประกอบกับปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง จึงต้องเร่งจัดหาน้ำต้นทุนเพิ่มให้ได้ไม่ต่ำกว่า 64 ล้าน ลบ.ม.
ดังนั้น เพื่อเป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างเร่งด่วน มติที่ประชุมจึงเห็นชอบในหลักการแผนระยะสั้น 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ เพิ่มปริมาณน้ำในอ่างฯ ขึ้นเป็น 8.70 ล้าน ลบ.ม. หรือเพิ่มขึ้น 1.5 ล้าน ลบ.ม. 2. โครงการบำบัดน้ำเสียมาผลิตน้ำประปา เพิ่มปริมาณน้ำในเขตเทศบาลนครภูเก็ต 0.584 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และ 3. โครงการระบบสูบผันน้ำ บ้านโคกโตนด-อ่างฯ บางเหนียวดำ จะทำให้ปริมาณน้ำในอ่างฯ เพิ่มขึ้นอีก 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และให้เสนอทั้ง 3 โครงการต่อที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ในวันที่ 22 ก.ค.นี้ พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการต่อไป
สำหรับแผนระยะสั้นที่เหลืออีก 1 โครงการ คือ โครงการพัฒนาระบบควบคุมบริหารจัดการน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ ที่ประชุมเห็นควรให้ จ.ภูเก็ต ทบทวนพิจารณาจัดตั้งเป็นศูนย์น้ำ จ.ภูเก็ต ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนของจังหวัดและให้เร่งรัดการดำเนินงานแผนงานระยะกลางที่ได้เสนอผ่าน กนช. แล้ว ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพังงา-ภูเก็ต ซึ่งจะทำให้มีปริมาณน้ำใช้ผลิตน้ำประปาเพิ่มขึ้น 49 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนงานระยะกลางและระยะยาว มอบหมายให้ สทนช. และ จ.ภูเก็ต ร่วมกันศึกษาแผนหลัก และแผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำให้ครอบคลุมตามแนวทางการพัฒนาแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้ง 6 ด้าน ต่อไป
พล.อ.ประวิตร กล่าวตอว่า อีกปัญหาที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือ การจัดการน้ำเสีย ที่ประชุมได้เห็นชอบต่อแนวทางการดำเนินงานในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการจัดการคุณภาพน้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ โดย กรมควบคุมมลพิษ และให้เสนอต่อ กนช. พิจารณา เพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้แผนแม่บทฯ น้ำ ด้านที่ 4 กลยุทธ์ที่ 1 การป้องกันและลดการเกิดน้ำเสียที่ต้นทาง และกลยุทธ์ที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดและควบคุมการระบายน้ำเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมการจัดการน้ำเสียจากทุกแหล่งกำเนิด เพราะปัจจุบันมีแหล่งน้ำเพียง 3 แหล่งน้ำ หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ได้แก่ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำพุมดวง และแม่น้ำตรัง เท่านั้น ที่ผ่านเกณฑ์ตามเป้าหมายที่กำหนด ส่วนแหล่งน้ำหลัก 48 สาย ยังขาดกฎหมายที่จะควบคุมให้มีการรวบรวมน้ำเสียจากทุกกิจกรรมในอาคารบ้านเรือนไปทำการบำบัด รวมถึงไม่มีกฎหมายที่กำหนดให้มีการจัดการน้ำเสียให้เป็นไปตามมาตรฐานประกอบการพิจารณาการอนุญาต/ต่ออายุใบอนุญาต และที่ประชุมยังได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งรัดการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการจัดการน้ำเสียชุมชน ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)
อย่างไรก็ตาม การที่หน่วยงานมีแผนงานอยู่ภายใต้แผนแม่บทน้ำ เป็นการกำหนดทิศทางและเป้าหมายของการทำงานสอดคล้องกับการดำเนินด้านงบประมาณ ที่จะสามารถจัดสรรไปได้ตามกรอบกำหนดไว้ ซึ่งในแผนแม่บทน้ำที่มีอยู่ 6 ด้าน มีคณะทำงานจากหน่วยงานต่างๆ ช่วยกันดำเนินการ ขอให้คิดวิเคราะห์ บูรณาการแผนงานต่างๆ ให้สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน เมื่อวางแผนงานดีแล้วต้องมีการขับเคลื่อนให้ได้ตามแผน สามารถแก้ไขปัญหาด้านน้ำของประเทศได้อย่างยั่งยืน ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำเสีย ซึ่งครั้งนี้ได้ให้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน เพื่อให้การพัฒนาแหล่งน้ำใต้ดินมีหลักเกณฑ์ มีแผนพัฒนาอย่างเหมาะสมชัดเจน ขอให้หน่วยงานเร่งดำเนินการให้สัมฤทธิผลโดยเร็วต่อไป
©2018 CK News. All rights reserved.