สามีเปิดใจ ! สูญเสีย "ภรรยา" ป่วยมะเร็ง ยอมสละชีวิต เพื่อให้ลูกน้อยมีโอกาสลืมตาดูโลก


17 ธ.ค. 2562, 10:53

สามีเปิดใจ ! สูญเสีย "ภรรยา" ป่วยมะเร็ง ยอมสละชีวิต เพื่อให้ลูกน้อยมีโอกาสลืมตาดูโลก




เป็นเรื่องที่สุดซาบซึ้งในสายใยสัมพันธ์ของแม่กับลูกที่อยู่ในท้องอย่างไม่สามารถอธิบายได้ หลังจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Thanatat Tawron ได้เล่าเรื่องราวชีวิตในครอบครัวของเขาลงในกลุ่ม HerKid รวมพลคนเห่อลูก เอาไว้ว่า 

ผมอยากจะเล่าเรื่องราวความรักของผมกับภรรยาให้ทุกคนฟัง และผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของผม น้องพึ่งเสียแม่ไป แม่น้องเสียด้วยโรคมะเร็งในกระแสเลือดเมื่อวันที่ 14/11/62 เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ต้องย้อนไป 13 ปี ที่แล้วครับ วันที่เราเจอกันและได้คุยกัน เราเรียน ม.ต้น ที่เดียวกันมาจนถึง ม.3 ท้ายเทอมสุดท้าย ผมตัดสินใจขอเบอร์ผู้หญิงคนนี้ เราคุยกันทุกวันบางวันไม่วางด้วย (สมัยนั้น PCT ฮิตสุด) แล้วเธอก็ตัดสินใจยอมคบกับผม เราคบกันช่วงปิดเทอมผมเลยตัดสินใจชวนเธอไปดูหนังด้วยกัน (เดทแรกว่างั้น) ตอนนั้นมีความสุขมากนะตามประสาวัยรุ่นเลย อายุ 15-16 พอถึงช่วงเปิดเทอมเราก็ยังคบกันอยู่และเราก็คบกันมาเรื่อย (ลืมบอกว่าขึ้นม.ปลายเราเรียนกันคนละที่ ภรรยาผมเรียนที่เดิมเขตบางนา ส่วนตัวผมไปเรียนแถวเอกมัย) ช่วงที่เรียนมอปลายหลังเลิกเรียนทุกวั นผมจะรีบกลับไปหาภรรยาผมทุกวัน เรียกได้ว่าผมติดเลยก็ได้นะ555 ตามประสาวัยรุ่น 

ตลอดเวลา3ปี ที่คบกันผมไม่คิดเลยว่าจะอยู่กันนานขนาดนี้คิดแค่ว่าคบไปเรื่อยๆ พอจบม.6 ด้วยกันทั้งคู่ เราสองคนก็ตัดสินใจเลือกที่จะเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแถวบางกะปิ เราเรียนคลาสเดียวกัน รหัสนิสิตติดกัน ไปไหนตัวติดกันตลอด ตลอดระยะเวลา 4ปี ที่เรียน กับอีก 7ปี ที่คบกันไม่ต้องถามนะว่าทะเลาะกันไหม บอกเลยชีวิตคู่ต้องมีครับ มันเป็นสีสันหลังจากเรียนจบ ผมก็สมัครเป็นทหารตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนภรรยาผมก็เริ่มหางานทำ 

(ตอนที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของการรักษาโรคมะเร็งแล้ว) ผมเป็นทหาร 6 เดือนเพราะใช้วุฒิ ป.ตรี ยื่นหลังจากปลดเสร็จผมก็บวชพระต่อ เรียกง่ายๆว่า ทำครบหมดตามสิ่งที่ลูกผู้ชายต้องทำ หลังจากผมเริ่มทำงานแล้ว ภรรยาผมเริ่มสังเกตที่เต้านมพบว่า นมข้างซ้ายมันใหญ่ขึ้นตัดสินใจเข้าตรวจที่รพ. แห่งหนึ่งแถวบางนาคำตอบที่ได้รับตลอดการรักษาคือระบุ เป็นแค่ก้อนซีดธรรมดาไม่อันตรายแล้วก็นัดตรวจเรื่อยมา พอนานวันเข้าก้อนเริ่มใหญ่ขึ้นและแตกช้ำเป็นจ้ำสีม่วงที่เต้านม ผมเริ่มคิดว่ามันไม่ใช่แล้วตัดสินใจพาไปตรวจที่รพ.จุฬา เจาะดูก้อนจนพบว่า เป็นมะเร็งในกระแสเลือดชนิดร้ายแรง (หนึ่งในล้าน) พอรู้ผลหลังจากผมก็เข้าติดต่อที่ รพ. (ตามสิทธิประกันสังคม) เพื่อพบกับหมอที่เป็นคนตรวจ คำตอบที่ได้จากปากหมอคนนั้นคือ ทำไมปล่อยไว้จนเป็นแบบนี้ (ม่วงช้ำๆ) ไปเดินชนโต๊ะมาหรือป่าว ผมนี้แทบจะกระโดดถีบปากหมอที่พูดแบบนั้น แต่ชีวิตต้องเดินต่อภรรยาผมตัดสินใจผ่าตัดโดยใช้สิทธิประกันสังคมส่งต่อไปที่สถาบันมะเร็ง 

ในปี2559 การผ่าตัดครั้งที่หนึ่ง 29/8/2559 ผ่านไปด้วยดี ผมกับภรรยาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันเข้าออก รพ. เพื่อรักษาโรงมะเร็งด้วยกันตลอด หลังจากนั้นปลายปี2559 18/12/2559 เราสองคนตัดสินใจแต่งงาน แล้วก็รักษาตัวมาตลอดจนต้นปี 60 ภรรยาผมก็เข้าผ่าตัดครั้งที่สอง 27/2/2560 เนื่องจากก้อนมะเร็งมันขึ้นที่เต้านมเหมือนเดิมจนต้องตัดทิ้ง เราใช้เวลารักษาตัวไปพบหมอตามนัดตลอดเข้าออกรพ. จนเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองเลยทีเดียว เราสองคนต่อสู้กับโรคนี้มานานมาก จนเข้าสู่เดือนกันยายนก้อนมะเร็งได้ขึ้นมาที่เดิมอีกครั้ง เป็นการผ่าตัดครั้งที่สาม 10/9/2560เหมือนเช่นเคยเราก็ยังคงรักษาตัวกันต่อไป จนพวกผมได้จัดทริปเที่ยวน้ำตกที่นครนายก และทริปทำความสะอาดวัดผมพาแฟนขี่สองล้อเที่ยวโดยไม่รู้เลยว่าภรรยาผมได้ตั้งครรภ์แล้ว 

จนมาถึงเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนเกิดของเธอ 6/10/2560 หมอนัดตรวจร่างกายไปถึงหมอซาวที่ท้องเพื่อค้นหาความผิดปกติและก้อนมะเร็งจนต้องตกใจเมื่อพบว่าได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเด็ก ใช่ครับภรรยาผมตั้งท้องได้2เดือนแล้ว พอหลังจากนั้นหมอก็เลยตัดสินใจให้มาปรึกษากับครอบครัวว่าจะเอายังไง จะรักษาต่อหรือจะหยุดการรักษาโดยเก็บเด็กไว้ (พอหลังจากที่ผมรู้ข่าวว่าภรรยาท้องผมทำไรแทบไม่ถูกเลยดีใจสุดๆ) ผมกับภรรยาและครอบครัวปรึกษากันไว้ว่าจะเก็บลูกไว้ พอกับไปพบหมออีกครั้งหมอถามว่าจะรักษาหรือเก็บไว้ แต่เด็กคงไม่สำคัญเนอะเราควรจะรักษาต่อ (ทำไมหมอพูดแบบนี้)  แต่ภรรยาผมเลือกที่จะเก็บลูกไว้และดูและเค้าอย่างดี (หมอบอกว่าระหว่างที่ท้องไม่สามารถรักษาอะไรได้เลย) ภรรยาผมไม่สนใจเธอเฝ้าคอยวันที่จะเจอหน้าลูก จนเข้าสู่เดือนที่เจ็ดของการตั้งครรภ์ก้อนมะเร็งได้โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง (ลืมบอกว่าผมฝากครรภ์ที่รพ.รามา) ภรรยาผมเดินเรื่องย้ายการผ่าตัดจากสถาบันมะเร็งมาเป็น รพ.รามาแทน 

หลังจากนั้นก็เป็นการผ่าตัดครั้งที่สี่ 27/3/2561 การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีทั้งแม่และเด็กปลอดภัย ทั้งผมและภรรยาช่วยกันดูแลลูกที่ในครรภ์เป็นอย่างดี การผ่าตัดทุกครั้งจะมีพ่อแม่ลุงป้าน้าอาพี่เพื่อนน้องมาเยี่ยมตลอดเรียกง่ายๆว่าทุกคนรักและเป็นห่วงภรรยาผม หลักนั้นก็เข้าสู่เดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นเดือนกำหนดคลอดเจ้าตัวเล็ก ก้อนมะเร็งได้โผล่ขึ้นมาอีกครั้งเหนือหน้าอกก่อนถึงคอซึ่งเป็นก้อนดันกระดูกขึ้นขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นทำไรยังไม่ได้เพราะใกล้คลอดจนมาถึงวันที่ 8/5/2561 ภรรยาผมก็ได้ให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยตอนเวลา11.50 น. ชื่อน้องขนม 

 



หลังจากคลอดเจ้าตัวน้อยได้สองวันพยาบาลก็ตรวจพบค่าตัวเหลืองและหายใจเร็ว หัวใจมีรอยรั่วและท่อที่ต่อผ่านหัวใจก็ปิดเองไม่ได้ต้องทำการผ่าตัด ผมและภรรยาทำใจไม่ได้ที่ต้องเห็นลูกนอนเจ็บอยู่ในตู้และโดนเจาะแขนแต่เราสองคนก็ให้กำลังใจเจ้าตัวน้อยทุกวัน ซึ่งหลังจากคลอดได้สองวันภรรยาผมก็ออกมาพักฟื้นที่บ้านแต่ว่าไปหาลูกทุกวันนะ ภรรยาผมเริ่มต้นการรักษาใหม่อีกครั้ งด้วยการฉายแสงเพื่อให้ก้อนนั้นยุบลงทำแบบนี้วันต่อวัน หลังจากทำเสร็จก็ไปหาลูกในห้องตู้อบ ส่วนน้องขนมที่มีความเป็นนักสู้เหมือนแม่ หลังผ่าตัดขนมฟื้นตัวได้เร็วมาก พยามยามรักษาตัวเองเพื่อที่จะได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อและแม่ พยาบาลที่ดูแลชื่นชมขนมกันใหญ่เลยว่าไม่เคยร้องหรืองอแงตลอดเวลาที่อยู่ในนั้น หลังจากอยู่ในห้องนั้นได้ประมาณ 15 วัน ถึงเวลากลับบ้าน เราสองสามคนพ่อแม่ลูกมีความสุขที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา 

หลังจากนั้นภรรยาของผมก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษามะเร็งอย่างเต็มรูปแบบเริ่มต้นด้วยการฉายแสง มาหาหมอตามนัดตลอดและต่อด้วยการให้คีโมซึ่งเป็นยาเคมีที่แรงและทำลายเซลทุกอย่างในร่างกาย ภรรยาผมใช้เวลารักษาและอยู่ดูแลขนมตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ลาคลอด หลังจากนั้นก็กลับไปทำงานตามปกติ แล้วก็มีลาหาหมอตามที่นัดทุกอาทิตย์ ทุกครั้งที่พบหมอ หมอจะบอกกลับภรรยาผมตลอดว่าก้อนมะเร็งที่ตับมันได้โตขึ้นเรื่อยๆนะ อาจจะทำให้ท้องโตขึ้นตามด้วย จากนั้นก็รักษาคีโมมาเรื่อยจนก้อนที่ตับปลิแตกทำให้เลือดออกและเข้า รพ. วันที่10/9/2562 กลางดึกตอนตี3 ต้องพามาส่งเพราะทนความปวดไม่ไหว มาถึงรพ. เข้าห้องฉุกเฉินรอดูอาการแล้วก็เอ็กเรย์ดูพบว่า ก้อนที่ตับปลิแตกจริงจึงต้องทำการให้เลือด พอสายของวันนั้นหมอต้องดูอาการเตรียมย้ายขึ้นห้องร่วมของผู้ป่วยเพื่อนทำการรักษา วันที่2 ของการนอน รพ. หมอได้รักษาภรรยาของผมโดยการยิงรังสีเพื่ออุดรอยแตกไว้ หลังจากที่ทำเสร็จก็ดูอาการว่ายังมีรอยแตกอีกไหมจนดีขึ้นเพราะให้เลือด ได้กลับบ้านวันที่23/9/2562 หลังจากนั้นวันที่30/9/2562 ก็มาพบหมอตามนัดเพื่อติดตามอาการอีกครั้ง 

หมอได้เข้ามาพูดคุยและถามไถ่อาการ บอกบอกว่าตอนนี้ยังให้คีโมไม่ได้เพราะจะทำให้ทรุดหนัก เลยต้องเปลี่ยนมาให้เลือดแทน (การให้เลือดไม่ใช่การรักษาเป็นแค่การประคับประคอง เพราะว่าไม่ได้รักษาตรงจุดช่วงหลังเลยทำให้ทรุดหนัก) ผมถามหมอไปว่า ถ้าเป็นแบบนี้จะอยู่ได้อีกนานไหมครับ หมอบอกว่าแค่หลักเดือนเท่านั้น หมอถามกลับมาว่าตอนนี้ลูกเรากี่ขวบแล้ว ผมตอบว่า 1 ขวบ 5เดือนครับ หมอบอกนั้นแหละนั้นคือกำไรชีวิตของเค้าแล้ว ที่เค้าอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ลูกคือกำลังใจที่ดีของเค้า ถ้าเป็นคนอื่นอย่างน้อยแค่ 3-6 เดือนเท่านั้น (เชื่อไหมครับหลังจากนั้นผมยืนร้องให้โดยที่ไม่สนใจใครในห้องเลย) หมอบอกให้เราสองคนเริ่มวางแผนการใช้ชีวิตเผื่อวันไหนที่มีอะไรเกิดขึ้นจะได้ตัดสินใจถูก วันนั้นเราให้เลือดเสร็จกับบ้านตามปกติคุยกันปกติ 

ภรรยาถามผมตอนอยู่บนรถว่าถ้าตายไปแกจะทิ้งลูกไปมีเมียใหม่ไหม ผมเงียบสักพักก่อนจะบอกไม่ต้องห่วงนะเค้าจะดูแลขนมให้ดีอย่างเท่าที่จะทำได้เพราะทุกวันนี้ผมก็ทุ่มให้กับลูกคนเดียวเท่านั้น ผมสองคนกลับถึงบ้านผมพยุงร่างคนป่วยที่เพลียจากการให้เลือดเดินขึ้นชั้น4ของตึก หลังจากนั้นอยู่ที่บ้านได้ไม่นาน ภรรยาผมก้บอกให้พาไปบ้านลุงหน่อย (ลุงที่เลี้ยงมาแต่เด็ก) เพื่อที่จะคุยกันเรื่องต่อเติมหลังคาบ้านที่ซื้อไว้ พอถึงเช้าวันเสาร์ที่ 5/10/2562 ผมมารับภรรยาไปบ้านลุงเราใช้เวลาเดินลงจากชั้น 4 ครึ่งชั่วโมงเพราะว่าเราเหนื่อยง่ายหายใจไม่ทัน หลังจากขึ้นรถและขับมาจนถึงบ้านลุง ผมส่งภรรยาเสร็จก็กลับมาทำงานต่อ จนเวลามาถึงบ่ายกว่าภรรยาไลน์มาบอกว่าจะขอนอนอยู่ที่นี้นะ แล้วถามผมว่าจะเอายังไงจะ นอนที่บ้านหรือมานอนที่บ้านลุงกับภรรยาผมใช้เวลาคิดแปปเดียวผมจะนอนที่นั้นกับเค้า ส่วนลูกถามว่าคิดถึงไหมผมบอกเลยว่ามากครับแต่ยังดีทีามีตายายคอยช่วยเลี้ยง 

หลังจากไปพักฟื้นที่บ้านลุงภรรยาผมก็ดูร่าเริงขึ้นผมใช้เวลาเกือบเดือนอยู่ที่นั้นขับรถไปกับทุกวัน ตอนเช้าผมจะตื่นแต่เช้าออกจากเสนานิคมเพื่อขับรถไปที่บ้านแฟลต ทร บางนาเพื่อซื้อข้าวไปไห้เล่นกับลูกก่อนไปทำงาน ส่วนตอนเยนเลิกงานผมก้ยิงตรงกลับบ้านลุงเลย ภรรยาผมจะรอกินข้าวด้วยทุกวันถึงแม้ว่าเค้าจะกินได้ไม่เยอะแต่ก้นั่งกินเปนเพื่อน ผ่านมาถึงวันที่ 11/10/2562 เป็นวันเกินอายุครบ 27 ปี พ่อแม่ลุงป้าน้าอา พี่น้องผ่องเพื่อนก้มาหาและเป่าเค้ก หน้าตาภรรยาผมดูมีความสุขและสดชื่นมากซึ่งเปนความสุขที่เงินซื้อไม่ได้จิงๆ หลังจากวันนั้นจนถึง 28/10/2562 ผมพาภรรยาพบหมอตามนัดครับ เราตรวจเสร็จจากคุนหมอก็ให้เลือดเหมือนเดิม (ค่าเลือดต่ำ) 

หลังจากเสร็จกับมาบ้านเช้าวันรุ่งขึ้นผมมาทำงานตามปกติ เสียงโทสับดังขึ้น พี่ตี๋ (พี่ชายลูกลุง) โทมาบอกว่าตอนนี้เมย์อาการไม่ดีหายใจไม่ออก ไม่มีแรงกำลังพามาโรงพยาบาล (บางนา1 เพื่อขอใบส่งตัว) พอหลังจากนั้นอาการเริ่มดีขึ้นก้กลับบ้านปกติ แต่จิตใจผมตอนนี้ที่ทำงานอยุ่ไม่เปนอะนทำไรเลยตั้งแต่พี่โทมาบอก เพราะเปนห่วงภรรยามากว่า พอเลิกงานกับถึงบ้านผมก้ถามไถ่อาการและก้ทายานวดหลังให้ จนในที่สุดวันที่ 31/10/2562 ผมเลิกงานกับถึงบ้านเรานั่งคุยกันเรื่อยเปลื่อยในห้องจนสี่ทุ่มครึ่ง ภรรยาผมมีอาการหายใจไม่ออก ร่างกายแขนขาไม่มีแรงเหมือนคนจะหมดสติพี่น้องช่วยกันร้องเรียกแล้วนำส่งโรงพยาบาล ถึงเวลา 23 .11 น. อยู่ในห้องฉุกเฉิน เรารอเวลาอย่างเดียวว่าเมื่อไหร่ตรวจเสร็จจะได้ห้อง เราอยู่ฉุกเฉินจนถึงวันอาทิตย์พี่น้องลุงป้าน้าอาวนกันมาเฝ้าและเยี่ยมไม่ขาดสาย ทุกคนรักภรรยาของผมมากๆเห็นได้จากการเข้าเยี่ยม ช่วงเวลาที่อยู่ฉุกเฉินภรรยาพูดกับผมว่า ยังไม่อยากตาย ฉันกำลังจะตายใช่ไหมผมยืนนิ่งน้ำตาไหลพร้อมจับมือแล้วพูดกับภรรยาว่าเดียวก็หายแล้วเราจะได้กลับบ้านกันนะลูกรอเราอยู่ 


หลังจากนั้นหมอและพยาบาลได้เรียกผมและพ่อแม่ลุงป้าไปคุยเพื่อจะทำการรักษาต่อแบบไหน หมอมีให้เลือก เจาะคอแล้วต่อท่อหายใจ ปั๊มหัวใจหากเกิดการหยุดหายใจ กับเข้าห้องประคับประคองระยะสุดท้ายเพื่อให้ยาระงับปวดตามอาการ ทางครอบครัวผมตัดสินใจที่จะเลือกห้องประคับประคองเพราะรู้ว่ามีโอกาสดีที่จะหายและได้กลับบ้าน ภรรยาผมอยู่ห้องประคับประคองตั้งแต่วันที่ 4 /11/62 ทุกคนที่รู้จักต่างเข้ามาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง และสอบถามอาการว่าเป็นยังไงบ้างตลอดเวลาที่อยู่ในนั้นอาการก็ทรงตัวมีอาการปวดหลังและปวดที่ท้องกินข้าวได้ทีละนิดกินเสร็จก็อ้วก (ระหว่างที่อยู่แฟนผมมีอาการเหมือนหายใจขัดมาสองครั้งแล้วแต่ก็ดีขึ้นและยังอยู่ต่อได้ เรียกได้ว่าดูอาการวันต่อวัน) จนถึงวันที่ 13/11/62 พี่ที่รู้จักกันได้ส่งข้อความมาบอกว่าวันที่ 14-11-62 พี่ศิลปินวงเคลียจะเข้ามาเยี่ยมภรรยาผม (เป็นวงที่เค้าชอบมาก) พอเช้าวันที่ 14/11/62 วันนี้น้องขนมมีนัดที่จะฉีดวัคซีนที่ รพ.รามา กะว่าไปหาภรรยาแล้วจะพาลูกไปฉีดยาช่วงบ่าย พอช่วยสายเท่านั้นแหละแม่ยายผมโทรมาบอกว่า ภรรยาไม่ไหวแล้ว อาการไม่ดีเลยตอนนี้ (ตื่นมาตอนเช้าใส่บาตรเสร็จอาการก็มาเลย) ผมรีบออกจากบ้านทันทีพาลูกขึ้น BTS พอไปถึง รพ. ผมเห็นหน้าภรรยาแล้วใจคอไม่ดีเลยมีอาการตาลอยแต่เรียกชื่อเค้ารับรู้ทุกอย่าง ผมบอกภรรยาว่าพาลูกมาหาแล้วนะ เค้าตอบ “อือออ” 

หลังจากนั้นไม่นานพี่ๆวงเคลียร์ก็มาถึงและบอกกับภรรยาว่าพี่มาแล้วนะขอโทษที่มาช้าไป เค้าตอบรับ “อือออ” เป็นการรับรู้ว่ามีคนมาหานะ พี่ๆวงเคลียร้องเพลงให้ภรรยาผมฟังและได้มอบเสื้อของวงไว้ไห้เป็นที่ระลึกและหลังจากนั้นพี่ๆเค้าก็กลับกัน เนื่องจากเค้ามาซ้อมและเล่นช่วงเย็น ช่วงเวลานี้ทั้งวันญาติพี่น้องมากันครบทุกคนทุกคนเป็นห่วงภรรยาผมมาก ช่วยบ่ายของวันผมจำใจต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนก่อน แต่ในใจหวังลึกๆว่าอย่าพึ่งเป็นอะไรเลย ผมใช้เวลาประมานชั่วโมงกว่าในการพาลูกหาหมอพอเสร็จก็รีบลงมา (ก่อนหน้านั้นภรรยาผมพูดกับที่บ้านว่าให้หมอฉีดยาให้เค้าเยอะๆเลยเค้าจะได้สบาย) เราอยู่ในห้องนั้น

จนทั่งวันจนเวลา 18.44 น. ช่วงเวลาแห่งการสูญเสียก็มาถึงผมนั่งอยู่ข้างเตียงจับมือเค้าไว้แน่นมากผมนั่งดูชีพจรของภรรยาผมค่อยๆเต้นช้าลงช้าลงจนหยุดหายใจเสียงคนร้องให้ดังระงมทั่วห้องวินาทีนั้นความเสียใจของผมพุ่งออกมากลายเป็นน้ำตา ผมลุกออกมาจากห้องนั้นผมนั่งร้องให้ตรงทางเข้าห้องผมปล่อยทุกอยากออกมาทางน้ำตาในหัวตอนนั้นผมคิดแต่ว่าทำไมมันเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับคนที่ผมรักด้วย ครอบครัวผมกำลังสร้างทุกอย่างเรากำลังเดินทางไปด้วยกัน ผมใช้เวลาอยู่ตรงนั้นประมาน 10 นาทีผมเริ่มตั้งสติ การที่เค้าจากไปแบบไม่เจ็บไม่ทรมานมันคงดีแล้วเค้าเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้วเหนื่อยมาตลอด 4 ปีที่รักษา ถึงเวลาที่เค้าจะต้องพักแล้ว ผมให้คำมั่นสัญญากับเค้าไว้ว่าจะดูและสิ่งที่เค้ารักมากที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ 

พอเวลาประมาณสองทุ่มหมอก็ให้พวกเราเข้าไปบอกลาครั้งสุดท้ายก่อนจะเข็นร่างอันไร่วิญญานไปไว้ห้องสุดท้าย (ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลย ผมคิดไปถึงข้างหน้าว่าผมจะทำยังไงต่อไปเมื่อเธอไม่อยู่แล้ว) ผมกลับถึงบ้านพักผ่อนเพื่อที่จะเตรียมเดินเรื่องเอกสารขอเอาศพออกจาก รพ. แต่ผมนอนไม่หลับในหัวยังคงคิดแต่เรื่องเราสองคน พอรุ่งเช้าผมตื่นอาบน้ำไป รพ. (ระหว่างอยู่บน BTS ใกล้เตรียมจะลงที่อนุสาวรีย์แล้ว ความรู้สึกที่เมอลอยคิดถึงเธอก็ทำให้ผมนั่งเลยป้ายจนได้ 5555 จนต้องนั่งย้อนกลับมา) ถึง รพ. ผมเข้าติดต่อห้องประคับประคองและการเงินเพื่อเคลียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 

หลังจากนั้นผมก็ไปซื้อข้าวมาให้ภรรยาแว๊บแรกที่เปิดห้องเข้าไปผมเห็นเค้าในสภาพที่แต่งหน้าแล้วยังดูสวยเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ผมจุดธูปบอกเค้าให้กินข้าวเช้า (ซื้อของโปรดมาให้เพราหมูไข่ดาว) ระหว่างที่รอเอาศพออกจาก รพ.ผมวิ่งไปที่เขตราชเทวีเพื่อแจ้งใบมรณบัตร ญาติพี่น้องทุกคนต่างช่วยกันทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมาย ทั้งรูป เสื้อผ้าที่จะให้เค้าใส่กลับ ถึงเวลาช่วงเที่ยงรถก็มารับศพออกจาก รพ.ไปที่วัดเพื่อทำพิธีตามศาสนา คืนแรก จนวันสุดท้ายทุกคนที่มาร่วมงานแน่นคับคั่งมากเต็มศาลาทุกวัน จนผ่านมาทุกวันนี้ผมเริ่มจะทำใจและยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว ผมตั้งใจจะทำให้ดีที่สุดเพื่ออนาคตของลูก ขอบคุณทุกคนที่เสียสละเข้ามาอ่านเรื่องราวของผมนะครับ การเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวมันไม่ง่ายเลยแต่ผมจะทำให้ดีที่สุด

ที่มา : Thanatat Tawron











©2018 CK News. All rights reserved.