วันที่ 14 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย และภาคีชาวกัญชาประเทศไทย ได้เดินทางเข้าพบ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธรณสุข เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่กลับพบว่า นายสมศักดิ์ ได้เชิญกลุ่มนักธุรกิจกัญชาเข้ามาหารือด้วย โดยทางเครือข่ายฯ ปฏิเสธที่จะร่วมโต๊ะหารือเนื่องจากต่างอุดมการณ์ ซึ่งหลังจากนั้นนายสมศักดิ์ ได้พาหนึ่งนักธุรกิจชื่อดังเข้าพบเครือข่ายกัญชาฯ ด้วย และเป็นผู้ตอบคำถามแทนรมว.สาธารณสุข เป็นเหตุให้ทางเครือข่ายฯ ตั้งข้อสังเกตว่า นักธุรกิจคนดังกล่าวมีสิทธิอะไร หรือว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนปั่นกระแสให้ประชาชนเกลียดกัญชาและสร้างความชอบธรรมในการดึงกัญชา กลับไปเป็นยาเสพติด และข้อสรุปของการเจรจาคือ นายสมศักดิ์ ยืนยันที่จะดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ซึ่งทางเครือข่ายกัญชา ก็ยืนยันว่า จะไม่ยอมและจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้กัญชา ถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไรก็ตาม
โดยในช่วงหัวค่ำของวันเดียวกัน นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล ได้กล่าวกับผู้ชุมนุมที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลว่า เครือข่ายกัญชาฯ เราได้พยายามทำทุกวิถีทางแล้วยที่คลี่คลายความขัดแย้ง แต่รัฐกลับใช้กลุ่มนักธุรกิจซึ่งแสดงจุดยืนว่าสนับสนุนการนำกัญชากลับไปสู่ยาเสพติด มาเจรจากับเรา ซึ่งเขาไม่มีสิทธิ แม้เขาจะบอกว่าให้ประชาชนปลูกได้ แต่เงื่อนไขคือ ต้องปลูกนโดยทำเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยที่มีคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นโรงเรือนขนาดใหญ่ เงินลงทุนมหาศาล ซึ่งก็เหมือน “กติกาให้ปลูกได้ แต่ปลูกไม่ได้” เพราะต้องเป็นนายทุนใหญ่ ที่มีกัญชาแปลงใหญ่ ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่รายล้อมพรรคเพื่อไทยอยู่
“ปรากฎการณ์เช่นนี้ เคยเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ และก็เอามาใข้กับประเทศไทย และคาดว่าจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก เพราะกัญชามีมูลค่านับแสนล้าน พรรคเพื่อไทย จึงใช้กลไกนักธุรกิจคนดังกล่าว สร้างข่าวปั่นกระแสให้คนกลัวและเกลียดกัญชา ทั้งที่กัญชาเป็นพืชมหัศจรรย์ แต่เขาถูกจับขังคุกมานานหลายสิบปี พอออกจากคุกมาได้ 2 ปี ก็จะเอาเขาเข้าคุกอีก โดยที่เขาไม่ได้มีความผิดอะไรเลย แบบนี้เรียกว่าเป็นการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ทำลายความมั่นคงทางยา ดูดประโยชน์จากประชาชน ไปพอกผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุน พวกเรายืนยันจะต่อสู้จนกว่าจะชนะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และเราจะเปิดโปงความชั่วร้าย จากการคอรัปชั่นเชิงนโยบายออกมาอย่างต่อเนื่อง” นายประสิทธิ์ชัย กล่าว
ล่าสุดเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยได้ออกแถลงการณ์ เพื่อแสดงจุดยืนต่อรัฐบาลว่า
จากการเจรจากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกรณีการนำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดประเภท5 เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยได้รับคำตอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า กระทรวงสาธารณสุขยืนยันที่จะเอากัญชาเข้าสู่บัญชียาเสพติดและปฏิเสธการตั้งกรรมการร่วมเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกัน
การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขปฏิเสธการควบคุมกัญชาด้วยกฎหมายเฉพาะคือพระราชบัญญัติกัญชา ยังเข้าใจได้เนื่องจากมีการประกาศนโยบายเช่นนี้ตั้งแต่สมศักดิ์ เทพสุทิน เข้ารับตำแหน่ง แต่การปฏิเสธข้อเสนอว่าด้วยการตั้งกรรมการร่วมเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกันในท่ามกลางความขัดแย้งอันเป็นหลักการสากลกลับถูกปฏิเสธด้วย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าประเทศนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อเท็จจริงในการกำหนดนโยบาย
จากปรากฎการณ์ที่พบเห็นและบทวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องทำให้ค้นพบสาเหตุที่แท้จริงในการนำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนั่นคือเกิดการรวมตัวของกลุ่มทุนกลุ่มหนึ่งเพื่อกระทำการล๊อบบี้กับนายใหญ่ของพรรคแกนนำรัฐบาลเพื่อให้กลุ่มทุนใหญ่ควบคุมกัญชาแต่เพียงกลุ่มเดียว โดยมีเหตุผลดังนี้
1.หากจะผูกขาดกัญชาจะต้องนำกัญชาไปควบคุมในกฎหมายที่จำกัดสิทธิ มีเงื่อนไขเฉพาะเพื่อให้เกิดกติกาที่ยากและมีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติได้ กลุ่มทุนเหล่านี้จึงสนับสนุนให้นำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดเพราะนี่คือช่องทางของการผูกขาด
2.จากเหตุการณ์การเจรจากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพบว่าก่อนการเจรจามีกลุ่มนักธุรกิจกลุ่มใหญ่จำนวนหลายสิบคนทั้งคนไทยและต่างชาติได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและที่น่าแปลกมากคือในการประชุมระหว่างเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยกับรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทินซึ่งเป็นการคลี่คลายความขัดแย้งจากกรณีการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลระหว่างรัฐกับประชาชน แต่กลับมีนักธุรกิจคนนั้นนั่งคู่กับรัฐมนตรี ชี้แจงแทนรัฐมนตรีว่าการนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดนั้นดีอย่างไร
3.หากควบคุมกัญชาด้วยกฎหมายยาเสพติดจะทำให้มีผู้ผลิตเพียงน้อยรายเท่านั้น และกลไกการใช้กัญชาจะถูกสั่งโดยแพทย์และการซื้อน้ำมันกัญชามารักษาจะต้องซื้อจากเภสัชกรเท่านั้นและน้ำมันกัญชาที่เภสัชกรจ่ายก็จะต้องเอามาจากบริษัทยาหรือกลุ่มทุนใหญ่ที่สามารถผลิตกัญชาภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ ฉะนั้นโดยกลไกกฎหมายยาเสพติดจะส่งผลให้เกิดการผูกขาดการปลูก การใช้ การซื้อขาย ภายใต้มูลค่ากัญชานับแสนล้าน
4.เมื่อนักธุรกิจคนนั้นสามารถนั่งคู่กับรัฐมนตรีและสามารถชี้แจงประชาชนแทนรัฐมนตรีได้แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่มี เพราะปกติแล้วนักธุรกิจไม่มีสิทธิอันใดที่จะทำหน้าที่คลี่คลายความขัดแย้งของการชุมนุมระหว่างรัฐและประชาชน คำถามที่สำคัญคืออำนาจของนักธุรกิจคนนี้มาจากไหน
5.นักธุรกิจซึ่งประกาศให้เอากัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดแต่กลับไม่กล่าวอ้างเหตุผลของการคุ้มครองเยาวชนหรือกลัวว่ากัญชาจะเกิดผลกระทบในเชิงลบอย่างที่ปั่นข่าวกัญชาคลั่งในช่วง2ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นเมื่อประมวลเหตุการณ์ทั้งหมด กระบวนการนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดในครั้งนี้คือกระบวนการของกลุ่มทุนที่กระทำการล๊อบบี้ยิสต์กับนายใหญ่ของพรรคแกนนำ เมื่อสมประโยชน์กันแล้วจึงหยิบยื่นเงื่อนไขนี้แก่ผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้นำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดเมื่อพวกเขาตกลงกันได้ จึงกระทำการครั้งนี้ขึ้น
6.การปั่นข่าวกัญชาคลั่ง การนำตัวเลขปลอมเรื่องผลกระทบจากกัญชาหรือการกระทำใดที่ผ่านมาล้วนเป็นกระบวนการสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน เพื่อนำกัญชาไปควบคุมโดยยาเสพติด เพราะหลายเหตุการณ์พิสูจน์ว่าไม่จริงและข้อมูลของรัฐที่กล่าวร้ายกัญชาก็ผิดพลาด ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การเป็นห่วงเยาวชนแต่เอาเยาวชนมากล่าวอ้างเพื่อควบคุมกัญชาเท่านั้น
เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยขอประกาศว่า เราจะพักการชุมนุมไว้ชั่วคราวเพื่อเตรียมการครั้งสำคัญ โดยขอประกาศการชุมนุมใหม่ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป
หลังจากนี้เครือข่ายขอประสานความร่วมมือกับเครือข่ายกัญชาทั่วประเทศเพื่อปฏิบัติการครั้งสำคัญในการเอากัญชาคืนจากกลุ่มทุนสู่ประชาชน การเคลื่อนไหวครั้งใหม่นี้ไม่ใช่เพียงเพื่อกัญชาแต่เพื่อทำลายการผูกขาดของกลุ่มทุนที่มีมาตลอดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยและปรากฎการณ์กัญชาทำให้เห็นความเลวร้ายของพรรคแกนนำรัฐบาลที่กระทำการผลิตนโยบายทุกอย่างเข้าสู่ประโยชน์ของกลุ่มทุน
จึงขอเรียนเชิญทุกท่านพร้อมกันวันที่ 8 กรกฎกาคม2567 เพื่อทวงสิทธิกัญชาคืนสู่ประชาชน
©2018 CK News. All rights reserved.