วันที่ 8 มิ.ย.2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดซึ่งเตรียมส่งเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 4.8 ล้านเม็ด มูลค่ากว่า 140 ล้านบาท ณ สถานีตำรวจภูธรสามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นนี้ เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ที่เน้นย้ำถึงการสืบสวนวิเคราะห์ขยายผลความเชื่อมโยงเครือข่ายการค้ายาเสพติด ให้สามารถแก้ไขปัญหาตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายอนุทิน กล่าวว่า การจับกุมยาเสพติดครั้งนี้ แสดงให้เห็นความร่วมมือบูรณาการของทีมป้องกันยาเสพติดของภาคส่วนต่างๆ ทั้งสำนักงานสำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ปปส. ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย และทีมผู้ปฏิบัติการชุดต่างๆ ที่ขณะนี้ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมาก ตั้งแต่การสืบ ติดตาม เข้าตรวจค้นและจับกุม ซึ่งครั้งนี้ก็มีลักษณะเหมือนกับหลายครั้งที่การขนถ่ายจะทำเป็นขบวนการ รับช่วงกันมาเป็นทอดๆ และจากลักษณะหีบห่อก็รู้ได้ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน มาจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านเข้ามาทาง จ.เชียงราย จึงอยากขอเน้นย้ำกับผู้คิดจะทำผิดด้วยการเข้าร่วมรับจ้างขน ว่าอย่าทำเลยเพราะเมื่อถูกจับกุมแล้ว โทษที่รับไม่ได้คุ้มกับเงินที่ได้ เช่นกรณีของผู้ต้องหาคดีนี้ก็รับจ้างขนได้รับค่าตอบแทนเพียง 3,000 บาทเอง แต่อนาคตต้องมาสูญสิ้น เพราะขนาดยาเสพติดที่จับได้ 4.8 ล้านเม็ดนี้โทษสูงสุดคือประหารชีวิต
“ผมขอฝากคนที่คิดจะทำผิดว่าอย่าทำเลย เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทุกคนเขามีความตั้งใจสูงมากที่จะรักษาเยาชน ชาติบ้านเมือง ให้ห่างจากยาเสพติด ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่อารยประเทศอย่างประเทศไทยควรจะมีคือการปลอดยาเสพติด และผมขอย้ำว่า ท่านเอาเข้ามาเท่าไหร่เราก็จับได้หมด และของพวกนี้ก็ต้องถูกทำลาย เราจะทำทุกทางเพื่อไม่ให้ของเหล่านี้ไปถึงมือเยาวชน ประชาชนของเรา ด้วยความแน่วแน่ และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้”
นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้ทางการเห็นว่าขบวนการค้ายาเสพติดได้มีการเปลี่ยนเส้นทางการลำเลียงลงไปทาง จ.กาญจนบุรี ฝั่งตะวันตกของไทย เนื่องจากทางภาคเหนือได้มีการตรึงกำลังเจ้าหน้าที่หนาแน่นมากขึ้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รายงานการจับกุมให้ทราบเกือบทุกวัน ซึ่งแม้จะเปลี่ยนเส้นทางแต่เจ้าหน้าที่ทุกระดับก็จะตรึงกำลังและสร้างอุปสรรคให้ถึงที่สุด ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ซึ่งในการข่าวเห็นหมดว่าใครเข้ามา เข้ามากี่คน เข้ามารูปแบบใด ซึ่งหากสามารถจับกุมได้ทั้งทหาร ตำรวจ อส. ก็จะเข้าดำเนินการจับกุมทันที แต่บางกรณีผู้ลำเลียงก็มีอาวุธ การดำเนินการจับกุมก็ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อ ลดความเสี่ยงต่อความสูญเสีย และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้วย
อีกเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญนั่นคือความเข้มงวดในการให้บริการกระแสไฟฟ้าตามแนวชายแดน ที่ปัจจุบันการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะมีให้บริการเข้าไปยังพื้นที่ชุมชนตามแนวชายแดนเพื่อมนุษยธรรมอยู่ ซึ่งหากมีการสืบทราบว่าในชุมชนนั้นๆ มีโรงงาน ผลิต หรือบรรจุยาอยู่ หรือกรณีมีการใช้กระแสไฟฟ้าไปใช้กับคอลเซ็นเตอร์ จะสั่งให้ตัดทันที จะไม่สนใจสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อสร้างอุปสรรคทุกวิถีทางให้กับขบวนการผิดกฎหมาย และในส่วนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ตอนนี้ก็กำลังมีนโยบายจะตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายจากนอกประเทศด้วย ซึ่งหากทั้งหน่วยงานของมหาดไทย และ ดีอีเอส ประสานการทำงานอย่างใกล้ชิด เชื่อมั่นว่าจะสามารถสกัดการทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ยาเสพติดที่จับกุมได้แล้วจะเกิดกรณีหลุดเข้าไปเป็นยาเสพติดหมุนเวียนหรือไม่นั้น ขอให้มั่นใจว่าทางการมีระบบการดูแลอย่างรัดกุมผู้ดูแลมีทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ปปส. และกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดูแลการทำลาย ซึ่งการเผาทำลายแต่ละครั้งมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท และแต่ละปีรวมแล้วเกือบแสนล้านบาท ดังนั้น การหมุนเวียนยาเสพติดจะไม่เกิดในยุคสมัยนี้แน่นอน หรือแม้ในอนาคตจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามา ก็ยังมีฝ่ายราชการประจำที่ดูแลสานต่องานไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว
“ผมมาในนามผู้แทนรัฐบาล และในนาม รมว.มหาดไทย ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ปปส. ฝ่ายปกครอง ที่ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ได้สำเร็จและจะขยายผลต่อไป ผมขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่เราทุกคนมีความมั่นใจ เต็มใจ แน่วแน่เต็มที่ที่จะกำจัดให้ยาเสพติดหมดไปจากประเทศไทยไม่วันใดก็วันหนึ่ง คนที่เกี่ยวข้องจะมีการสืบขยายผลจับกุมไม่รอดพ้นกฎหมาย โทษรุนแรงมาก อย่าคิดทำผิดเลยครับ ไม่คุ้ม ให้คิดถึงครอบครัว ลูก ภรรยา พ่อ แม่ก่อนทำ แม้ท่านจะมีความจำเป็นในชีวิตต่างๆ อันนี้เรารับทราบ แต่มันก็มีทางอื่นที่ถูกกฎหมายที่จะหารายได้ เมื่อจับกุมแล้วและเราไม่สามารถให้ความเห็นใจท่านได้เลย เพราะของเหล่านี้เมื่อไปถึงประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนแล้วมันเสียหายอย่างมาก”
©2018 CK News. All rights reserved.