วันที่ 17 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.ฯ , พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1ฯ,พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1ฯ ,พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.1ฯ พ.ต.ต.พิสิทธิ์ เตชะ สว.กก.สส.1ฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.1ฯ ชุดปฎิบัติการที่ 1 จับกุมตัว
นายนพฤทธิ์ หาญอุสาหกิจ อายุ 24 ปี ที่อยู่เลขที่ 80 หมู่ 9 ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1150/2567 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2567
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน, ทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น” สถานที่จับกุม เพิกพักไม่มีเลขที่ภายใน ซ.โกสุมร่วมใจ 43 แขวงดอนเมือง
พฤติการณ์ในการจับกุม วันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เวลา 11.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายนพฤทธิ์ อายุ 24 ปี ที่อยู่เลขที่ 80 หมู่ 9 ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1150/2567 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน, ทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น” ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในบริเวณซอยโกสุมรวมใจ 43 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ จึงได้ดำเนินการสืบสวนติดตาม ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้พบเห็น นายนพฤทธิ์ฯ อยู่ภายในบริเวณเพิกพักไม่มีเลขที่ท้ายซอยโกสุมรวมใจ 43 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และมีตำหนิรูปพรรณตรงบุคคลกับหมายจับ จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอตรวจสอบชื่อสกุลและหมายเลขบัตรประชาชนผลการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับจึงแสดงหมายจับให้ นายนพฤทธิ์ฯ ดูและอ่านจนเข้าใจดีแล้ว แล้วรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และยังไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อหาพร้อมทั้งแจ้งสิทธิ์ให้นายนพฤทธิ์ฯ ทราบ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจฯ จึงได้พานายนพฤทธิ์ฯ
นำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผู้ต้องหารับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและให้การว่า ตนเองเคยคบหากับผู้เสียหายประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นผู้เสียหายได้ขอเลิกลากับตนและไปมีแฟนใหม่ ทำให้ตนเกิดความเสียใจและเกิดอาการหึงหวง โดยเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 ตนได้เข้าไปหาผู้เสียหายภายในห้องพัก ตั้งใจจะเข้าไปขอคืนดีกับทางผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายไม่ยอมคุยด้วยและเดินหนีตนจึงได้เดินตามไปง้อระหว่างที่ตนเดินตามไปง้อนั้นได้มีการฉุดยื้อและโต้เถียงกันอย่างรุนแรงจนทำให้ทางผู้เสียหายล้มลงละหัวกระแทกพื้น ตนเห็นท่าทางไม่ดีเลยวิ่งหนีออกไป หลังจากนั้นจึงวนกลับมาตามผู้เสียหายอีกหนึ่งรอบแต่ทางผู้เสียหายวิ่งหนีออกไปได้ทัน ตนจึงได้เดินทางกลับที่พัก ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 ตนพบเห็นผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์บนถนนเส้นแจ้งวัฒนะ จึงได้ขับรถจักรยานยนต์ของตนตามเข้าไปชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจนล้มลง และได้ขับหลบหนีออกมา
หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการพูดคุยปรับทัศนคติ แนวคิด และให้คำแนะนำแนวทางการปฏิบัติตนต่อนายนพฤทธิ์ และนายนพฤทธิ์ ได้เข้าใจและรับทราบพร้อมทั้งได้ให้คำมั่นสัญญากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดจับกุมพร้อมได้ขอทั้งสาบานตนต่อพระพุทธรูป ที่ กก.สส.1 บก.สส.บช.น. ว่าจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวและตามรังความผู้เสียหายอีก
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า ความรักที่มีรูปแบบผิดวิธี ในลักษณะตามราวีผู้เสียหายนอกจากเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับที่ผู้หญิงในการดำเนินชีวิตแล้ว ยังมีความตามกฎหมาย และมีโทษทางอาญาอีกด้วย
©2018 CK News. All rights reserved.