วันที่ 4 มี.ค. 2567 นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าวว่า หากสังเกตุจะพบว่าเมื่อครั้งที่มีการนำกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดและต่อมามีการจัดทำ พ.ร.บ.กัญชา เสียงของสังคมในขณะนั้นคือ กัญชาเป็นสิ่งเลวร้าย โดยที่ไม่มีใครยอมนำข้อเท็จจริงที่มีการศึกษาหรือรูปธรรมของการใช้กัญชารักษาผู้ป่วยขึ้นมาพูดเลย สิ่งที่สังคมกระทำในขณะนั้นคือส่งแรงเชียร์ให้กับคนที่เคลื่อนไหวเพื่อจะนำกัญชากลับไปสู่บัญชียาเสพติด โดยไม่รู้จักกัญชาว่าคืออะไร เพราะเชื่อจากการตกอยู่ในบัญชียาเสพติดมายาวนานว่ากัญชาคือสิ่งเลวร้ายและใช้ความเชื่อนั้นตอบสนองต่อการเคลือนไหวกัญชา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนั่นคือ ความรู้เรื่องกัญชาไม่ถูกนำเสนอต่อสาธารณะ
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่ถูกนำเสนอในปัจจุบันยังเป็นเรื่องเดิมคือ กัญชาเป็นสิ่งเลวร้าย โดยมีตัวละสำคัญคือ 2 รัฐมนตรี ประกอบด้วยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในความเป็นรัฐมนตรีฯ แทบจะไม่ใช้ความรู้ในการกำหนดนโยบายเลย เพราะกัญชาในฐานะยารักษาโรคแต่กลับวนเวียนให้สัมภาษณ์จะเอากลับไปเป็นยาเสพติดบ้าง จะให้เปิดเป็นคลินิกบ้าง แต่กับยาบ้าซึ่งเป็นยาเสพติดกลับเปิดโอกาสให้มีการเสพอย่างเสรี นี่คือความวิบัติของการไม่ใช้ข้อเท็จจริงในการกำหนดนโยบาย อีกคนคือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็มีความพยายามมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วในการเอากัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ไม่ว่าจะทำลายพรรคการเมืองคู่แข่งหรือไม่ก็เอาใจชาวมุสลิมสามจังหวัดเพราะทวี สอดส่อง คิดว่าคนสามจังหวัดต่อต้านกัญชา พอได้มาเป็นรัฐมนตรีก็ดำเนินการต่อด้วยการเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขนำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติด
นอจากนี้ เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ยังได้ตั้งคำถาม ต่อ พ.ต.อ.ทวี 2 ข้อคือ 1.ใครเป็นพ่อค้ายาบ้ารายใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ มีพรรคการเมืองใดใช้เงินที่ได้จากการค้ายาบ้าในกิจกรรมทางการเมืองหรือไม่ และ 2. ทำไม รมว.ยุติธรรมไม่ต่อต้านยาบ้า 5 เม็ดซึ่งปล่อยให้มีการเสพยาเสพติดกันแบบเสรี นอกจากรัฐมนตรียุติธรรมต้องตอบคำถามทั้งสองประการแล้วยังต้องตอบคำถามว่าเหตุใดจึงเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด โดยขอให้ทำข้อมูลเปรียบเทียบระหว่าง สุรา บุหรี่ กัญชา ยาบ้า เมื่อพิจารณาข้อมูลวิทยาศาสตร์แล้วสังคมจะได้ตัดสินว่าควรนำสิ่งใดกลับสู่ยาเสพติดและสิ่งใด ถึงเวลาที่สังคมนี้ต้องกลับมาสู่ข้อเท็จจริง และสังคมต้องเรียกร้องให้มีการใช้ข้อเท็จจริงในการกำหนดนโยบาย หากสังคมละเลยฝ่ายการเมืองไม่แน่ว่าจะนำยาเสพติดตัวใดออกมาให้ใช้กันอย่างอิสระได้
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวอีกว่า หากเราสืบสาวให้ชัดเจน เหตุผลหนึ่งที่ปล่อยให้ยาบ้าเสพแบบถูกกฎหมายคือ ยาบ้ามีเจ้าของมานานแล้วและอาจจะนิ่งแล้วว่าใครคุมสูงสุดและต้องบอกว่าคนคุมสูงสุดคือคนที่อยู่บนยอดพีระมิด เมื่อมีเจ้าของเบ็ดเสร็จก็จะต้องทำให้การตลาดโต วิธีการทำให้ตลาดโตคือเปิดโอกาสให้มีการบริโภค เหมือนธุรกิจเบียร์ ส่วนกัญชาที่ยังกำหนดกติกาแบบยาเสพติดเพราะตอนนี้ประชาชนยังปลูกได้ ฉะนั้นกฎหมายของหมอชลน่านจึงตัดหมวดนี้ออกทั้งหมวดเพื่อตัดสิทธิการปลูกกัญชาของครัวเรือน แต่ไปกำหนดว่าทุกคนปลูกได้ภายใต้กติกาอีกแบบ ซึ่งแน่นอนว่าตอนที่ออกกฎกระทรวงในการปฏิบัติจะมีมาตรการกีดกันประชาชนและมีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ปลูกได้ และเมื่อถึงเวลานั้นอำนาจรัฐจะประสานเสียงกันว่า กัญชาไม่อันตราย ถึงกับเปิดโอกาสให้ใช้กันแบบไม่ควบคุมเหมือนยาบ้าในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้การกำหนดนโยบายของประเทศนี้จึงก่อความเหลื่อมล้ำตลอดมา ด้วยนิสัยของพรรคเพื่อไทยไม่มีทางยื่นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน ส่วนพรรคประชาชาติหากพิจารณาช่วงจัดตั้งรัฐบาลก็จะพบว่าเขาเป็นอะไรกับพรรคเพื่อไทย กัญชาจึงตกอยู่ในเกมส์ด้วยประการฉะนี้
“เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยจึงขอให้ทั้งสองกระทรวงกลับมายึดข้อเท็จจริงในการกำหนดนโยบาย โดยเราจะเริ่มต้นด้วยความเป็นทางการในการส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมวันที่ 6 มีนาคม 2567 เวลา 13.00 น.” นายประสิทธิ์ชัย กล่าว
©2018 CK News. All rights reserved.