วันที่ 12 ก.พ.2567 พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI พร้อมด้วย ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ และนายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ร่วมกันแถลงข่าวการขยายผลจับกุมแก๊งทำบัตรประชาชนปลอมได้เพิ่มอีก 3 ผู้ต้องหาในคดีพิเศษที่ 98/2566 หลังการตรวจค้นพร้อมกัน 3 จุด ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และอ่างทอง
โดยนายสมชัยระบุว่า ความเป็นมาของคดีนี้เกิดจากเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2566 พบเพจเฟซบุ๊คนำรูปปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมตรากระทรวง ไปหลอกลวง อ้างว่า สามารถทำบัตรประชาชนให้แก่บุคคลที่ไม่มีสัญชาติ บุคคลต่างด้าวที่เพิ่งเข้ามาในราชอาณาจักรหรือบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนได้ โดยมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนกว่าบาท แต่พบว่าไม่สามารถทำบัตรให้ได้จริง พบแต่เพียงแค่การตัดต่อเป็นสำเนาเอกสารบัตรประชาชนให้ จึงทำให้มีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ทางกรมการปกครอง จึงได้ประสานกับทาง DSI ในการสืบสวนสอบสวน จนสามารถจับกุม ตัวการใหญ่ ที่ทำหน้าที่ควบคุมบัญชีม้า ได้ 4 รายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ก่อนจะนำมาสู่การขยายผลจับกุมผู้ต้องหาได้เพิ่มอีก 3 ราย
ทั้งนี้จึงขอฝากเตือนประชาชนว่ากรมการปกครองไม่มีนโยบายจัดทำเอกสารทางราชการโดยเฉพาะบัตรประชาชน รวมทั้งการให้บริการด้านทะเบียนราษฎร์แก่ประชาชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เนื่องจากเป็นเรื่องของความมั่นคงตามกฎหมายแล้วประชาชนที่ต้องการจะทำบัตรประชาชนหรือรับบริการด้าน ทะเบียนราษฎร์จะต้องมาแสดงตนณที่ทำการอำเภอเขตหรือสถานที่ราชการเท่านั้น หากพบเจอ พฤติกรรม หลอกลวงประชาชน ในลักษณะดังกล่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์โปรดอย่าหลงเชื่อและสามารถแจ้งเบาะแส มาได้ที่กรมการปกครอง
ด้าน ร.ต.อ.เขมชาติ กล่าวว่า หลังจากการจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 จึงนำมาสู่การขยายผล พบว่ามีการเปิดบัญชีม้าในเครือข่ายบัตรประชาชนปลอมคดีนี้มากถึง 248 บัญชี ซึ่งรวยมาจากการเปิดรับสมัคร ว่าจ้างงานรับเปิดบัญชี ในสื่อสังคมออนไลน์ โดยให้ค่าตอบแทน เปิดบัญชีครั้งละ 500 บาท และมีเงินพิเศษให้ผู้เปิดบัญชีอีกเดือนละ 5,000 บาท รวมมีเงินหมุนเวียนในขบวนการดังกล่าวหลักร้อยล้านกว่าบาท อีกทั้งยังพบว่า มีการทำบัญชีม้าที่เปิดมานั้น ไปใช้ ในเครือข่าย อาชญากรรมออนไลน์ด้านอื่นๆอาทิ ขบวนการหลอกให้เช่ารถ ในพื้นที่ภาค เหนือ แล้วขบวนการหลอกลวงซื้อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ต่างๆ
จนนำมาสู่การลงพื้นที่ตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 รายได้แก่
1.นายเหม (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี ถูกจับกุมในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ใช้ในการจ่ายค่าเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อใช้เป็นบัญชีม้าแล้วนำไปกระทำความผิดต่าง ๆ หรือเป็นผู้ว่าจ้างทั้ง 248 บัญชีในการเปิดบัญชีม้า
2.นางสาววิมลณัฐ (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี ถูกจับกุมในพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่แก๊งทำบัตรประชาชนปลอมใช้รับเงินจากผู้เสียหาย เป็นบัญชีธนาคารลำดับชั้นที่ 3
3.นางสาววลีรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ถูกจับกุมตัวในพื้นที่ จ.อ่างทอง มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของบัญชีธนาคาร ซึ่งแก๊งทำบัตรประชาชนปลอมใช้รับเงินจากผู้เสียหาย เป็นบัญชีธนาคารลำดับชั้นที่ 1 มีผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวกว่า 20 ราย มีเงินโอนเข้าบัญชีรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันนําข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ // ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น // ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน // เป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานฟอกเงิน // และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 รายให้การรับสารภาพ อยู่ในระหว่างการขยายผลเพิ่มเติมไปยังฐานปฏิบัติการของเพจ Facebook เครือข่ายกลุ่มนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ตามตะเข็บชายแดน รวมทั้งอยู่ในระหว่างการติดตามตัวอีก 2 ผู้ต้องหารายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าในเครือข่ายนี้มาดำเนินคดี และจะประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการปิดเพจ Facebook ที่กระทำความผิดต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.พเยาว์ เผยว่า หัวใจสำคัญของกระบวนการอาชญากรรมทางออนไลน์คือ บรรดาบัญชีม้า หากสามารถทลายขบวนการบัญชีม้าได้ ก็จะเป็นการตัดตอน เครือข่ายอาชญากรรมทางออนไลน์ไปได้มาก จึงขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนว่าการทำธุรกรรมทางออนไลน์ใด ๆ ควรจะต้องตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วนและระมัดระวังการถูกหลอกลวง
อีกทั้งยังเปิดเผยอีกว่า ไม่มีการทำบริการใด ๆ กับทางราชการ โดยเฉพาะการทำทะเบียนราษฎร์และบัตรประชาชนผ่านทางออนไลน์ ซึ่งเรื่องนี้วิญญูชนทั่วไปก็ควรจะตระหนักรู้ดีว่า จะต้องไปแสดงตนต่อหน้าเจ้าพนักงานที่หน่วยงานราชการเท่านั้น หากยังพบเพจ Facebook เหล่านี้และหลงเชื่อ อาจจะเข้าข่ายเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดฐานสนับสนุนที่มีการปลอมแปลงบัตรประชาชนและไม่ถือว่าเป็นผู้เสียหายอย่างแท้จริง จึงควรจะต้องมีวิจารณญาณให้มาก อย่างไรก็ตามในคดีนี้นั้น ผู้เสียหายที่มาแจ้งความ ยังไม่มีใครได้รับเอกสารบัตรประชาชนตัวจริง จึงถือว่ายังไม่ครบองค์ประกอบความผิดและมีสถานะเป็นเพียงแค่ผู้เสียหายเท่านั้น
©2018 CK News. All rights reserved.