วันที่ 20 ม.ค. 2567 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.สส.บช.น.) สั่งการให้ชุดสืบนครบาล และชุด PCT5 บุกจับกุม นายวรงค์ฤทธิ์ รัตนกิจพิศาล หรือฤทธิ์ อายุ 46 ปี น.ส.จิราภา แซ่จิว อายุ 39 ปี และน.ส.มนัสนันท์ นัยผ่องศรี อายุ 44 ปี โดยจับกุมได้ที่ห้องพักในโรงแรมชื่อดัง ย่านรัชดา กรุงเทพฯ
จากการตรวจสอบพบ ไอซ์ 3 ถุง จำนวน 4.6 กรัม เครื่องรูดบัตรเครดิต จำนวน 4 เครื่อง สลิปการใช้บัตรเครดิต จำนวน 30 ใบ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง สมุดจดบันทึก จำนวน 2 เล่ม และ ม้วนกระดาษสลิปโอนเงิน จำนวน 1 ม้วน
สำหรับพฤติการณ์ แก๊งล้วงกระเป๋า ลักบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กำลังระบาดในสถานที่ท่องเที่ยว โดยขโมยบัตรเครดิตของเหยื่อแล้วแอบนำไปรูดสร้างความเสียหายกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางในสถานที่ต่างๆ และเป็นการทำเป็นขบวนการมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ หามือขโมยบัตร เตรียมสถานที่ เตรียมเครื่องที่จะใช้รูดบัตร โดยมือขโมยบัตร จะเป็นชาวต่างชาติสัญชาติเวียดนาม จีน
พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่าการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากมีการแกะรอยจากกลุ่มชาวจีนจำนวน 3 ราย ที่ได้ลงมือก่อเหตุขโมยบัตรเครดิตนักท่องเที่ยวภายในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 ที่ผ่านมาพบพยานหลักฐานไปถึงหัวหน้าขบวนการในประเทศไทยคือ นายวรงค์ฤทธิ์ฯ ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าทำหน้าที่หาคน หาเครื่องรูดบัตร บ้างนำมาจากบริษัทที่จดทะเบียนขึ้นมาลอยๆ หรือนำมาจากห้างร้านทองหลายๆแห่ง เพื่อนำมารวมกันไว้ใน “เซฟเฮ้าส์” ห้องลับเพื่อใช้คอยรูดบัตรให้กับขบวนการนี้โดยเฉพาะ
ยังสืบทราบว่า นายวรงค์ฤทธิ์ฯ เป็นบุคคลตามหมายจับในข้อหาพยายามส่งออกยาเสพติดไปยังประเทศเกาหลีใต้ แต่จากการสืบสวนแกะรอยหัวหน้าขบวนการรายนี้นับว่าเป็น “งานหิน” ด้วยความเขี้ยวของหัวหน้าขบวนการรายนี้ที่จะตัดตอนมิให้พยานหลักฐานเชื่อมโยงมาถึงตัว และไปมาอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลากว่า 4 ปี ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คอยตระเวนเปิดโรงแรมนอนและย้ายไปเรื่อยๆในพื้นที่ กรุงเทพฯ
หลังจากแกะรอยกว่า 1 สัปดาห์จนได้เบาะแสว่าคนร้านรายนี้ได้ปรากฏตัวที่ละแวก ซ.เสือใหญ่ จึงนำกำลังติดตามไปจนพบ “เซฟเฮ้าส์” ที่ใช้เก็บอุปกรณ์เครื่องรูดบัตรไว้ จนกระทั่งบุกเข้าไปตรวจสอบห้องพักของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่คนร้ายไหวตัวทัน มุดเข้าไปแอบภายในห้องน้ำและพยายามถ่วงเวลาเพื่อลบข้อมูลในโทรศัพท์ ชุดสืบสวนไม่รอช้าพังประตูเข้าไปรวบตัวในห้องน้ำได้ทันควัน และจับกุมหญิงสาวผู้ร่วมขบวนการอีก 2 ราย
นายวรงค์ฤทธิ์ฯ สารภาพว่า ก่อนหน้านี้เคยทำธุรกิจส่วนตัว เปิดโรงแรม ย่านราชเทวี และเป็นนายหน้าขายที่ดินในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด และ เป็นนายหน้าขายรถยนต์มือสองในพื้นที่ กทม. ก่อนจะประสบวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เป็นเหตุให้ธุรกิจเจ๊งและปิดตัวลง จนกระทั่งมารู้จักกับ “อาเหว่ย” สัญชาติจีน บอสใหญ่คอลเซ็นเตอร์ โดยอาเหว่ยให้ตนเป็นคนประสาน ติดต่อ และจัดหาเครื่องรูดบัตรเครดิตจากร้านค้าทั่วไปให้แก่อาเหว่ย ซึ่งมีเพื่อนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เดินทางมาเที่ยวในไทย อยากจะเปลี่ยนวงเงินในบัตรเครดิตที่ถืออยู่ให้เป็นเงินสด โดยผ่านจากเครื่องรูดบัตร เพื่อใช้สอยในระหว่างที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย โดยอาเหว่ยตกลงจะให้ค่าตอบแทนร้อยละ 25-30 ของจำนวนเงินที่สามารถกดได้จากบัตร
จนกระทั่งช่วงหลังเริ่มทราบว่าแท้จริงเป็นขบวนการที่นำบัตรเครดิตมาจากการขโมย โดยรวมทั้งหมดแล้วไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,600,000 – 3,000,000 บาท” หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายวรงค์ฤทธิ์ฯ พร้อมกับผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน พร้อมของกลางยาเสพติด นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ส่วนของกลางจำพวกเครื่องรูดบัตร และอื่นๆ ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายและขยายผลต่อไป
©2018 CK News. All rights reserved.