วันที่ 19 พ.ย. 2566 พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผบช.สอท. พ.ต.อ.นิพนธ์ บุญเกิด ผบก.สอท2 สั่งการให้ พ.ต.อ.ศาตรา สุขานุศาสตร์ ผกก.1 บก.สอท.2 พ.ต.ท.เอกรินทร์ สนนาค สว.กก.1 บก.สอท.2 นำกำลังพร้อมหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี เจ้าจับกุมตัวกลุ่มผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 6 คน ประกอบด้วย นายชโนทัย วงษ์ฤทธิ์ อายุ 32 ปั ชาวจังหวัดสระบุรี น.ส.ทิวาคอง ชื่นกมล อายุ 49 ปี ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด น.ส.จารุวรรณ วังหลวง อายุ 22 ปี ชาวจังหวัดกำแพงเพชร นายสุริยา จันทะราช อายุ 29 ปี ชาวจังหวัดนครพนม นายศรัญญู ตระกูลใต้ อายุ 27 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช และน.ส.กานดา เข็มอุทา อายุ 29 ปี ชาวจังหวัดปทุมธานี ในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ , ร่วมกัน ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ , ร่วมกันเข้าถึง โดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน , ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูอคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน ,ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ,ร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และ ร่วมกันฟอกเงิน”
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้เสียหาย อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของนายแพทย์ที่เกษียรราชการไปแล้ว ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์มือถือ จากแก๊งมิจฉาชีพแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงไทย แจ้งกับผู้เสียหายว่าทางรัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือผู้ที่ใช้แอปพลิเคชั่นถุงเงิน ที่ต้องเสียภาษีเป็นจำนวนมาก โดยจะมีการแจกเงินจำนวน 5,000 บาท เป็นเวลา 2 เดือน โดยสอบถามว่าจะสะดวกรับผ่านทางช่องทางใด ระหว่างไปติดต่อที่ธนาคารกรุงไทยด้วยตัวเองหรือจะรับผ่านแอปพลิเคชั่น ผู้เสียหายได้เลือกรับผ่านแอปพลิเคชั่น
โดยเริ่มต้นจากเพิ่มเพื่อนกับผู้ใช้ไลน์ชื่อ "Krungthai Bank" จากหมายเลขโทรศัพท์มือถือ จากนั้นมีการพูดคุย มีการสอบถาม ยืนยันชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ของผู้เสียหาย และมีการแนะนำให้ทำธุรกรรมผ่านทางลิงก์เว็บไซต์ โดยมีการสนทนาผ่าน โทรศัพท์มือถือไปพร้อมกัน ซึ่งทางมิจฉาชีพให้ผู้เสียหายเข้าใช้งานเว็บไซต์ดังกล่าว ปรากฏหน้าเว็บเพจมีลักษณะคล้ายแอปพลิเคชั่นถุงเงิน จากนั้นให้ผู้เสียหายกรอกข้อมูล ชื่อ นามสกุล เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด อีเมลล์ สแกนใบหน้ายืนยันตัวตน และกดรับรหัส OTP เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จ มิจฉาชีพแจ้งว่าข้อมูลของผู้เสียหายไม่ผ่านจะต้องทำการเปลี่ยนธนาคารจากธนาคารกรุงไทยเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ และให้กรอกข้อมูลชื่อนามสกุล เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด อีเมลล์ สแกนใบหน้ายืนยันตัวตน และกดรับรหัส OTP อีกครั้ง
หลังการกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยมิจฉาชีพออกอุบายว่าข้อมูลของผู้เสียหายไม่ผ่านอีก จะต้องทำการเปลี่ยนธนาคารจากธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารกรุงเทพ และให้กรอกข้อมูลชื่อนามสกุล เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด อีเมลล์ สแกนใบหน้ายืนยันตัวตน และกดรับรหัส OTP อีกเป็นครั้งที่สาม โดยมิจฉาชีพแจ้งว่าข้อมูลของผู้เสียหายไม่ผ่านอีก แต่ครั้งนี้ผู้เสียหายเริ่มเอะใจรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงบอกว่าไม่ขอรับเงินจำนวน5,000 บาทแล้ว
ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายมีอาการค้าง ใช้งานไม่ได้ และไม่ปรากฎการแจ้งเตือนใดๆ ทางผู้เสียหายจึงรีบกดวางสายและเข้าตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ พบว่ามีการออกจากระบบและมีข้อความจากธนาคารกรุงไทยและธนาคารไทยพาณิชย์ว่ามีการยืนยันตัวตนเข้าสู่ระบบผ่านอุปกรณ์เครื่องอื่น และ มีเงินถูกโอนออกจากบัญชีของผู้เสียหาย โดยที่ไม่ได้ทำธุรกรรมการโอนเงินเป็นจำนวน 4 ครั้ง ภายในเวลา 30 นาที จนหมดเกลี้ยงบัญชี รวมเป็นเงินกว่า 1.5 ล้านบาท ก่อนแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ ให้ดำเนินคดีกับคนร้าย
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.1 บก.สอท.2 ได้แกะรอยเส้นทางการเงิน พบความเขื่อมโยงและผู้ที่เกี่ยวข้องในขบวนการของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ทั้งหมด 15 คน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับไปแล้ว 12 คน อยู่ระหว่างขออนุมัติหมายจับเพิ่มอีก 3 คน ติดตามจับกุมได้แล้ว 6 คน โดยมีชาวจีนที่เตรียมออกหมายจับเป็นตัวการสำคัญระดับสั่งการและผู้ต้องหาชาวกัมพูชา ทำหน้าที่คอยกดเงินออกจากตู้เอทีเอ็ม ที่ออกหมายจับไปแล้วอยู่ระหว่างติดตามตัว
จากการสอบสวนกลุ่มผู้ต้องให้การรับสารภาพว่าได้รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร เมื่อช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนนำมาขายให้กับผู้รับซื้อในราคาบัญชีละ 300 - 1,000 บาท โดยไม่รู้ว่าผู้รับซื้อจะนำไปใช้ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก่อนควบคุมตัวนำส่ง พนักงานสอบสวน บก.สอท.2 ดำเนินคดีต่อไป
©2018 CK News. All rights reserved.