วันที่ 31 ต.ค. 2566 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.พัฒนา ฉายาวัฒน์, พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ ปฏิบัติราชการ รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.ธีรภาส ยั่งยืน ผกก.3 บก.ปอศ. พ.ต.ท.ณธัชพงศ์ สินสิริยานนท์ รอง ผกก.3 บก.ปอศ. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “CIB Anti Online Scam : ขุดรากแก๊งปลอมเพจ หลอกชวนเทรดหุ้น” หลังนำกำลังเข้าตรวจค้น 21 จุดเป้าหมาย ในพื้นที่ 8 จังหวัด สามารถจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาได้จำนวน 26 ราย ในจำนวนนี้มี 4 ราย ที่ทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการ หรือ จัดอยู่ในระดับหัวหน้า
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สำหรับรูปแบบแผนประทุษกรรมของคนร้ายกลุ่มนี้ จะทำการปลอมเพจเฟซบุ๊กร้านทองออโรร่าขึ้นมา ก่อนโพสต์ชักชวน ผู้คนให้นำเงินมาร่วมลงทุนเทรดหุ้น อ้างกำไรร้อยละ 20-30 ของเงินลงทุน ซึ่งแท้จริงแล้วผลกำไรต่างๆ เป็นเพียงแค่ตัวเลขที่สร้างขึ้นมา เพื่อดึงดูดใจจากเหยื่อ แต่ไม่สามารถถอนออกมาเป็นตัวเงินได้ หากใครจะถอนเงินกลุ่มคนร้ายก็จะอ้างเงื่อนไขต่างๆขึ้นมา เช่น ต้องเสียภาษี ต้องวางการันตรี หรือ เงื่อนไขอื่นๆมากมาย จนทำให้เหยื่อไม่สามารถถอนเงินได้ ก่อนจะตัดขาดการติดต่อ หรือ เชิดเงินทั้งหมดหนีไป ที่ผ่านมามีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก
หลังทราบเรื่อง จึงสั่งการให้ ตำรวจ กก.3 บก.ปอศ. จัดกำลังลงพื้นที่สืบสวนตรวจสอบ จนทราบตัวกลุ่มคนร้าย ก่อนรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 50 ราย นำมาสู่การเปิดปฏิบัติการดังกล่าว สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 26 ราย ในจำนวนนี้มีหัวหน้าแก๊งหรือผู้ต้องหาระดับสั่งการ 4 ราย เป็นชาวจีน พร้อมตรวจยึดเงินในบัญชีคริปโตจำนวน 28 ล้าน สมุดบัญชีธนาคาร ซิมการ์ด คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในการกระทำผิดหลายรายการ นอกจากนี้จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินขบวนการดังกล่าว พบมีเงินหมุนเวียนกว่า 1,200 ล้านบาท อยู่ระหว่างการขยายผล เพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินอีก 1 คดี
พ.ต.อ.ธีรภาส กล่าวว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้มีการทำกันเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน อาทิ คนจัดหาซื้อเพจ คนโพสต์ข้อความชักชวน คนติดต่อพูดคุยกับเหยื่อ คนสอนเทรดหุ้น บัญชีม้า คนแปลงทรัพย์สิน โดยมีนายทุนชาวจีนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ว่าจ้างคนไทยเป็นนอมินีเปิดบริษัทขึ้นมาบังหน้า 3 บริษัท
ส่วนเส้นทางการเงินจากแนวทางสืบสวนพบว่า เมื่อมีเหยื่อหลงเชื่อนำเงินมาร่วมลงทุน เงินของเหยื่อจะถูกโอนไปยังบัญชีม้าคนไทย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 แถว ก่อนจะถูกโอนต่อเข้าสู่บัญชีม้าแถวที่ 4 เป็นบัญชีคนต่างชาติ เพื่อรวบรวมเงิน แล้วนำไปแปลงเป็นทรัพย์สินต่างๆ 3 รูปแบบ 1. สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศแล้วส่งไปที่ ประเทศกัมพูชา ลาว เพื่อขายกลับมาเป็นเงินสด 2. แปลงเป็นเงินสกุลดิจิตอลคริปโต และ 3. การแปลงเป็นอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ
โดยมีบริษัทนอมินีทั้ง 3 แห่ง คอยบริหารจัดการ ซึ่งจากการตรวจสอบ พบไม่มีการดำเนินกิจการอยู่จริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนนับพันล้านบาท สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมดจำนวน 26 คนที่จับกุมตัวได้นั้น จากการสอบสวนเบื้องต้น มีบางส่วนให้การภาคเสธ และ บางส่วนยังคงให้การปฏิเสธ
©2018 CK News. All rights reserved.