วันนี้(วันที่ 25 ก.ย. 66 ) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสุรินทร์ ได้รับการประสานร้องทุกข์จาก น.ส.สุจิตรา ซ่อนศรี อายุ 32 ปี ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แห่งหนึ่งในอำเภอท่าตูม อยู่บ้านเลขที่ 49 ม.1 ต.ท่าตูม อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ว่าต้องการให้สื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าว ติดตามรถยนต์สีขาว ไม่ทราบทะเบียนและหมวดจังหวัด คาดว่าน่าจะเป็นรถมิตรซูบิชิ ปาเจโร่ ที่พุ่งชนท้ายรถเก๋งนิสสัน สีขาว ทะเบียน กจ 9577 สุรินทร์ ของตนเองขณะที่รถยังวิ่งอยู่บนถนนจนได้รับความเสียหายด้านท้ายพังทั้งแถบ จนรถเกือบเสียหลักพลิกคว่ำ ก่อนที่คนขับชนเป็นผู้ชายจะลงมาสอบถามและขอตัวไปเอาโทรศัพท์ที่รถที่จอดห่างออกไปประมาณ 30 กว่าเมตร เพื่อจะแจ้งตำรวจ จากนั้นก็ขึ้นรถขับหลบหนีไปต่อหน้าต่อตา เหตุเกิดเมื่อเวลา 19.30 น.ของวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา บนสาย 214 เขตรอยต่ออำเภอจอมพระและอำเภอท่าตูม จ.สุรินทร์ จุดเกิดเหตุระหว่างบ้านหนองยางกับบ้านท่าศิลา ตำบลเมืองแก อ.ท่าตูม และได้แจ้งความไว้แล้วที่ สภ.ท่าตูม จนเวลาล่วงเลยมา 10 กว่าวันแล้ว ก็ยังตามหารถคันที่ชนยังไม่พบ ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าตูม ก็ได้ติดตามหารถคันดังกล่าวอย่างต่อเนื่องรวมถึงการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดบนถนนด้วย ซึ่งก็จับภาพได้ไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากรถคันดังกล่าววิ่งเร็วมาก จึงอยากให้สื่อช่วยนำเสนอเผื่อประชาชนที่ติดตามข่าวเห็น จะได้แจ้งเบาะแสช่วยตามหาอีกทาง เพราะตอนนี้ตนเองลำบากมากที่ต้องมารับผิดชอบค่าซ่อมรถเอง ซึ่งอู่ซ่อมประเมินราคาตอนนี้ประมาณแสนกว่าบาทแล้ว
ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุ พบว่าเป็นถนน 4 เลนแบบมีเกาะกลาง จุดที่ถูกชนเป็นช่วงออกจากบ้านหนองยาง จะไปบ้านท่าศิลา มุ่งหน้าเข้าเขตรอยต่ออำเภอจอมพระ เป็นช่วงที่ไม่มีบ้านเรือนประชาชน ตอนกลางคืนจะมืดเพราะเสาไฟส่องสว่างกลางถนนสิ้นสุดพอดี รถที่วิ่งสัญจรไป-มา ค่อนข้างจะใช้ความเร็วเพราะเป็นทางตรง
จากการสอบถาม น.ส.สุจิตรา ครูศูนย์ฯผู้เสียหาย บอกว่า ตนขับมากับเพื่อนที่เป็นครูศูนย์ฯด้วยกัน ขับอยู่ช่องเลนขวาเพื่อที่จะกลับรถข้างหน้าอีก 500 เมตร เพื่อบ้านพักที่อำเภอท่าตูม จู่ๆก็ถูกชนด้านหลังอย่างแรง พอประคองรถได้ก็เลยไปจอดที่ขอบทางด้านซ้าย ซึ่งคันที่ชนท้ายก็จอดด้วย ก่อนปิดไฟรถแล้วเดินมาถาม คนขับเป็นชายมาคนเดียว อายุประมาณ 30 กว่าปี ผมสั้น ผอม สูงประมาณ 160-165 ซม.และบอกว่าจะโทรแจ้งตำรวจให้ แต่พอเดินกลับไปถึงรถก็ขึ้นรถขับออกไปเลย เป็นรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่ สีขาว รุ่นกลางๆไม่ใหม่มาก จำทะเบียนไม่ได้ และไม่รู้ว่าพังตรงไหนบ้างเพราะจอดอยู่ไกลและมืด แต่เพื่อนที่เป็นกู้ภัยบอกว่าหม้อน้ำน่าจะแตก พอวันต่อมาตนไปเช็คกล้องวงจรปิดแต่มองไม่ชัด เพราะเขาขับไวมาก ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดำเนินการตามให้อยู่ มีตรงไหนที่เราสงสัยเขาก็เข้าไปตรวจสอบให้ ส่วนความคืบหน้าตอนนี้ยังไม่มีเพราะตนจำทะเบียนรถคันนั้นไม่ได้ อีกอย่างบริเวณนั้นก็มืดด้วยมองไม่เห็น และก็ไม่ได้ถ่ายภาพไว้ด้วยเนื่องจากยังตกใจกับเหตุการณ์อยู่ และไม่คิดว่าเขาจะขับหนีไปเลย ตอนนี้รถเอาไปซ่อมที่อู่ในเมืองสุรินทร์ ประเมินค่าซ่อมอยู่ที่แสนกว่าบาท ก็อยากให้คนที่ขับชนมารับผิดชอบช่วยจ่ายค่าซ่อมตรงนี้ด้วย และตนก็ไม่หวังที่จะดำเนินคดี ขอแค่มาพูดคุยกันรับผิดชอบความเสียหายที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น ก็ขอฝากถึงท่านที่มีเบาะแสเกี่ยวกับรถคันดังกล่าว ขอให้แจ้งมาทางตนได้ตลอด ช่วงเกิดเหตุ 19.40 น.วันที่ 13 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา เบอร์โทรติดต่อตนหมายเลข 084-8321336
ผู้สื่อข่าวได้เข้าสอบถาม พ.ต.ต.ธวัชชัย แก่นแก้ว สว.(สอบสวน)สภ.ท่าตูม เจ้าของคดี ทราบว่า กำลังดำเนินติดตามรถคันดังกล่าวอยู่ โดยให้ชุดสืบสวน ลงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ตามจุดต่างๆที่ต้องสงสัย และตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามถนน สาย 214 ที่รถคันดังกล่าววิ่งผ่าน ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างติดตามตรวจสอบ เพราะตอนนี้ข้อมูลที่ผู้เสียหายยืนยันมีเพียงยี่ห้อรถ รุ่นรถ และสีรถเท่านั้น ส่วนภาพวงจรปิดที่ทางชุดสืบสวนได้มาจากเทศบาลเมืองแก ที่อยู่ใกล้ที่เกิดก่อนชนก็มองไม่ชัดเจน ไม่เห็นแผ่นป้ายเพราะรถคันดังกล่าววิ่งไวมาก
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดของเทศบาลเมืองแก พร้อมกับชุดสืบสวน สภ.ท่าตูม อีกครั้ง พบว่ามีกล้องที่จับภาพรถเก๋งของ น.ส.สุจิตรา วิ่งผ่าน เวลา 19.34.19 วินาที ก่อนที่รถปาเจโร่สีขาวจะวิ่งผ่านตาม เวลา 19.34.49 วินาที เวลาห่างกันแค่ 30 วินาที โดยกล้องตัวที่จับภาพอยู่ห่างจากจุดชนประมาณ 500-600 เมตร ซึ่งก็ไม่สามารถมองไม่เห็นแผ่นป้ายทะเบียนเพราะรถวิ่งไวมาก
ขณะที่อู่ซ่อมสีที่นำรถเก๋งไปซ่อม บอกว่า ตอนนี้ค่าใช้จ่ายเฉพาะอะไหล่ที่สั่งมา แสนหนึ่งหมื่นบาทแล้ว ซึ่งยังไม่รวมค่าซ่อมค่าดึงค่าแรง หากซ่อมเสร็จรวมแล้วก็อยู่ประมาณแสนปลายๆเกือบสองแสนบาท ดูจากสภาพการชนหากไม่มียางอะไหล่กันไว้ความเสียหายอาจจะถึงข้างในเก๋งก็เป็นได้
©2018 CK News. All rights reserved.