PCT1 บุกเข้าช่วยนศ.ถูกหลอกจับตัวเองขู่แม่เหยื่อโอนเงิน 2 ล้าน


13 ส.ค. 2566, 15:00

PCT1 บุกเข้าช่วยนศ.ถูกหลอกจับตัวเองขู่แม่เหยื่อโอนเงิน 2 ล้าน




วันที่ 13 ส.ค. 2566  ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หัวหน้า ศปอส.ตร.ชป.1, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. สั่งการให้ จนท.ชป.1 ศปอส.ตร. นำกำลังเข้าช่วยเหลือนักศึกษาถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน

พฤติการณ์เมื่อวันที่ 7 ส.ค.66 เวลาประมาณ 9.00 น. คนร้าย คอลเซ็นเตอร์โทรหาผู้เสียหาย นางสาว ก. นามสมมติ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ย่านบางเขน กรุงเทพฯ อ้างว่าเป็น เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย สาขาสงขลา แจ้งว่า พบสมุดบัญชีของผู้เสียหายในกล่องพัสดุที่ถูกอายัด เนื่องจากพัสดุดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับขบวนการฟอกเงิน โดยแจ้งว่าภายในกล่องพัสดุมีพาสปอร์ตของชาวเมียนมาร์ 12 เล่ม ,บัตร ATM 9 ใบ ,สมุดบัญชี 8 เล่ม และมีสมุดบัญชี 1 เล่มปรากฏชื่อของผู้เสียหาย ต่อมาคนร้ายจึงได้หลอกถามเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหายว่าตรงกับสมุดบัญชีในกล่องพัสดุดังกล่าวหรือไม่ และได้แนะนำให้ผู้เสียหายแจ้งตำรวจ สภ.เมืองสงขลา โดยทางคนร้ายที่อ้างตัวเป็นไปรษณีย์ไทยจึงอาสาประสานติดต่อตำรวจให้เพื่อแจ้งความ 

ต่อมาคนร้ายได้โอนสายไปยังคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสงขลา และได้สอบถามกับผู้เสียหายว่า ช่วงนี้มียอดเงินแปลกๆเข้ามายังบัญชีของผู้เสียหายไหม ผู้เสียหายจึงตรวจสอบบัญชีดูพบว่า มียอดการโอนเงินเข้ามาในบัญชีของผู้เสียหายจริงประมาณ 13,000 บาท ตอนเวลาประมาณ 2.00 น. ของวันที่ 7 ส.ค.66 จึงได้แจ้งกับคนร้ายว่า มียอดเงินแปลกๆ โอนเข้ามาจริง ทางคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฟอกเงิน  และคนร้ายได้แจ้งผู้เสียหายให้ติดต่อกันโดยผ่าน LINE โดยใช้ชื่อ “สภ.เมืองสงขลา” เพื่อวีดิโอคอล โดยคนร้ายได้อ้างเป็น ผกก.สภ.เมืองสงขลา และแต่งกายในชุดเครื่องแบบตำรวจ และได้ส่งเอกสารราชการปลอมซึ่งระบุชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหาย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน เพื่อที่จะให้ผู้เสียโอนเงินเข้าบัญชีคนร้ายเพื่อตรวจสอบ ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินทั้งหมดในบัญชีรวมถึงยอด 13,000 บาท ไปให้กับคนร้าย 

ต่อมาคนร้ายได้แจ้งกับผู้เสียหายว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนคดีนี้ซึ่งเป็นคดีลับ จึงขอให้เก็บเป็นความลับและห้ามไม่ให้ผู้อื่นทราบ และได้สอบถามว่าตัวผู้เสียหายอยู่ที่ไหน  ผู้เสียหายแจ้งว่าอยู่ที่หอบริเวณมหาลัย  จึงขอให้ผู้เสียหายไปเก็บตัวอยู่คนเดียวและให้ปิดการแจ้งเตือนภายในโทรศัพท์ทั้งหมด  และให้ย้ายสถานที่ไปโรงแรมใกล้มหาลัย แต่เนื่องจากบริเวณมหาลัยไม่มีโรงแรม ทางคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ผู้เสียหายไปยังฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และให้ไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่ 

คนร้ายจึงได้แนะนำให้ไปเช่าห้องพักแถวรังสิตต.คูคต อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่าบริเวณรีสอร์ทดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา โดยเมื่อถึงที่พักคนร้ายให้ผู้เสียหายเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ เพื่อที่จะไม่ให้มีผู้ใดสามารถติดต่อผู้เสียหายได้ และได้แจ้งให้ผู้เสียหายสมัคร LINE ใหม่ผ่าน IPAD และให้ผู้เสียหายแอด LINE ชื่อ “หน่วยงาน ปปง.พิเศษ” และได้วีดิโอคอลกับคนร้ายที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ปปง.พิเศษ ซึ่งต่อมาได้แจ้งให้ผู้เสียหายลบแอพพลิเคชั่นที่สามารถติดต่อกับผู้อื่นทั้งภายในโทรศัพท์มือถือและ IPAD อย่าง LINE ,Facebook ,Instragram และ Messenger โดยให้เหลือไว้เฉพาะแอพพลิเคชั่น LINE ใน IPAD ไว้แอพเดียว   และให้เปิดวีดิโอคอล LINE ใน IPAD คุยกับคนร้ายที่อ้างเป็นหน่วยงาน ปปง.พิเศษ ตลอดเวลา ซึ่งคนร้ายได้คอยเฝ้าดูและควบคุมการกระทำทุกอย่างของผู้เสียหายผ่านวีดิโอคอล และได้หลอกส่ง QR CODE LOGIN LINE มาให้ผู้เสียหายสแกนเพื่อเข้า LINE อันเดิมของผู้เสียหาย ทำให้คนร้ายสามารถควบคุม LINE อันเดิมของผู้เสียหายได้สำเร็จ   

ซึ่งระหว่างที่อยู่ภายในห้องพัก คนร้ายได้สอบถามว่าที่บ้านประกอบธุรกิจอะไร  ผู้เสียหายได้บอกข้อมูล ชื่อ สกุล เบอร์โทรของพ่อ แม่  ต่อมาคนร้ายได้แจ้งกับผู้เสียหายว่าในคดีนี้ จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันประมาณ 200,000 บาท จึงถามผู้เสียหายว่าจะขอยืมเงินจากใครได้บ้าง และให้ผู้เสียหายทดลองขอยืมเงินโดยให้ผู้เสียหายโทรหาเพื่อน และแม่ของผู้เสียหายเพื่อขอยืมเงิน ซึ่งระหว่างที่โทรไปหาแม่และเพื่อนของผู้เสียหาย คนร้ายได้เฝ้าดูผู้เสียหายผ่านวีดิโอคอลขณะผู้เสียหายกำลังคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา ซึ่งต่อมาคนร้ายจึงได้ออกอุบายที่จะช่วยเกี่ยวกับหลักทรัพย์ในการประกันให้กับผู้เสียหายโดยบอกให้ผู้เสียหายทำตามไปซื้อเทปกาว และกรรไกร เพื่อนำมาถ่ายคลิปโดยมัดมือมัดเท้าตนเองส่งให้กับคนร้าย โดยแจ้งว่าคลิปดังกล่าวจะเป็นความลับ ไม่มีการเผยแพร่อย่างแน่นอน เนื่องด้วยความกลัวที่คนร้ายข่มขู่ว่าถ้าไม่ทำตามจะถูกดำเนินคดี และความอยากกลับบ้าน ผู้เสียหายจึงยอมทำตาม      

โดยต่อมาคนร้าย ได้ติดต่อและส่งคลิปดังกล่าวให้กับแม่ของผู้เสียหาย ด้วย LINE อันเก่าของผู้เสียหายที่คนร้ายหลอกให้ SCAN QR CODE และได้โทรผ่าน LINE ติดต่อแม่ของผู้เสียหาย ซึ่งคนร้ายได้ส่งบทให้ผู้เสียหายพูดตามว่า “หนูไม่สำคัญกับแม่เลยใช่ไหมค่ะ หนูไม่มีค่าสำหรับแม่เลยใช่ไหม ถ้าแม่ไม่ช่วยหนู หนูคงไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกแล้วนะ” จึงทำให้แม่เชื่อว่าผู้เสียหายอยู่กับคนร้าย และตกอยู่ในอันตราย โดยคนร้ายขู่ว่าผู้เสียหายจะเป็นอันตราย ถ้าแม่ของผู้เสียหายไม่โอนเงิน จำนวน 2 ล้านบาทเข้าบัญชีของผู้เสียหาย ต่อมาแม่ของผู้เสียหาย จึงได้แจ้งขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT 1

ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่าผู้เสียหายเข้าพักอยู่ ณ พีพี รีสอร์ท ต.คูคต อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี ทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ดำเนินการเข้าตรวจสอบณ รีสอร์ทดังกล่าว ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบพบว่า นางสาว ก. นามสมมติผู้เสียหาย อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว โดยคนร้ายรีบตัดสายสนทนาทิ้งทันที โดยจากการสืบสวนพบว่าคนร้ายทั้งหมดได้กระทำความผิดอยู่ที่ ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์ โดยใช้การโทรศัพท์ และควบคุมเหยื่อด้วยการวีดีโอคอล

พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หัวหน้า ศปอส.ตร.ชป.1 กล่าวว่า รูปแบบการกระทำผิดข้างต้นเป็นแผนประทุษกรรมรูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซนเตอร์  โดยใช้วิธีการแยกหลอกเหยื่อ และผู้ปกครองของเหยื่อ  โดยอ้างใช้การเรียกค่าไถ่ และข่มขู่จะทำอันตรายเหยื่อ เพื่อให้ผู้ปกครองยอมโอนเงินทั้งหมดให้   ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องระดมกำลังเพื่อออกปฏิบัติการเนื่องจาก ผู้ปกครองเป็นห่วงความปลอดภัย เข้าใจว่าเป็นเรื่องเรียกค่าไถ่จริง สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเป็นอย่างมาก  อยากประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันในแผนประทุษกรรมรูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซนเตอร์  และขอเตือนคนไทยที่ร่วมกระทำผิด





คำที่เกี่ยวข้อง : #แก๊งคอลเซ็นเตอร์  









©2018 CK News. All rights reserved.